บทที่ 413 ความดีไม่มีคำว่าสายไป
ผู้ป่วยและภรรยาอยู่ในห้อง ICU พูดคุยสนทนากันเสียงเบา
ปีนี้ทั้งสองอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แม้จะยังไม่ถึงเจ็ดสิบ แต่เพราะทำงานหนักมาหลายปีทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงไปมาก สองปีมานี้ ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ชีวิตพวกเขาจึงผ่อนคลายได้บ้าง
ชายชรานั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย พูดไม่หยุดว่า “เฮ้อ ดีขึ้นมากแล้ว!”
“ขนาดลูกสาวยังรังเกียจว่าผมสกปรก แต่หมออันไม่รังเกียจเลยสักนิด ใช้มือล้วงให้ผมเลย ช่าง…เฮ้อ เป็นคนดีจริงๆ!”
อันที่จริงไม่ว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกันทั้งนั้น…
ชายชรานั่งพิงเตียง ถอนใจอย่างปลงอนิจจังไปหลายครั้งแล้ว ส่วนคุณยายท่าทางราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง เอาแต่นั่งไม่พูดไม่จา ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อ
ชายชราเห็นภรรยาของตนไม่ยอมพูดจาก็อดถามไม่ได้ว่า “คุณเป็นอะไร ทำไมไม่พูด”
คุณยายลำบากใจเล็กน้อย เธออายที่จะพูด พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
ชายชรารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องจึงหันไปมอง พบว่าใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ เขาตกใจจนรีบพูดขึ้นว่า “คุณเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงขนาดนี้ เดี๋ยวผมเรียกหมอให้คุณแล้วกัน!”
คุณยายเห็นดังนั้นก็รีบหยุดเขาเอาไว้ “ทำอะไรของคุณน่ะ นั่งสงบอารมณ์อยู่ที่นี่เลย!”
ชายชรายังคงไม่เข้าใจ “คุณนั่นแหละเป็นอะไร พูดมาเถอะ”
คุณยายอดทอดถอนใจไม่ได้ “หมออันคนนี้…เมื่อก่อนฉันเคยเจอเขา!”
ชายชราชะงักไปทันที “เมื่อไหร่”
อันที่จริงตั้งแต่วินาทีที่คุณยายเห็นอันเยี่ยนจวินเธอก็หน้าแดงแล้ว เธอเคยพบคนคนนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น…ยังจำได้ดีอีกด้วย
คุณยายพูดขึ้นว่า “สิบปีก่อน แต่…ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลนี้ แต่เป็นโรงพยาบาลตงต้าสาขาสอง”
ชายชราได้ยินคำว่าสิบปีก่อนก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนนั้นเขายังทำงานอยู่นอกบ้าน ครึ่งปีถึงจะได้กลับบ้านครั้งหนึ่ง ตอนนั้นลูกคนเล็กของเขายังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ลูกคนโตก็ยังไม่ได้แต่งงาน ภาระทางบ้านค่อนข้างหนักหนา ชายชราจึงตามเพื่อนร่วมงานไปทำงานสร้างรถไฟใต้ดินที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภรรยากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
คุณยายทอดถอนใจยาวๆ “เรื่องนี้…ฉันไม่ได้บอกคุณค่ะ ตอนนั้นคุณยังอยู่ที่เมืองหลวง ฉันเลยกลัวคุณเป็นห่วง ตอนนั้นฉันกำลังล้างจานอยู่ที่บ้านแต่พื้นเปียก ฉันไม่ระวังตัวจนลื่นหกล้ม ข้อมือกระแทกพื้น!”
“ตอนนั้นฉันเจ็บแขนจนยกไม่ขึ้น แต่ก็ไม่อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพราะเสียดายเงิน ปล่อยไว้วันหนึ่งอาการก็หนักขึ้นอีก ฉันก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลตงต้า พอไปถึงก็เป็นหมออันที่มาตรวจให้ฉันค่ะ”
“เขาเอกซเรย์ข้อต่อตรงข้อมือให้ฉัน กระดูกไม่ได้หัก ไม่เป็นอะไรมากมาย แค่ให้ยาแล้วก็ให้กลับบ้าน บอกให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”
“แต่…พอกลับมาถึงบ้านแล้ว วันต่อมาก็ยังยกแขนไม่ขึ้น ฉันเลยไปที่แผนกฉุกเฉิน พอตรวจดูก็พบว่ากระดูกตรงข้อต่อแตกเล็กน้อย ตอนนั้นฉันโมโหมาก คิดว่าหมอน้อยคนนั้นตรวจสะเพร่าทำให้ต้องจ่ายเงินมากขึ้น โกรธจนฟ้องเรื่องหมอน้อยคนนั้นกับฝ่ายกิจการแพทย์เลยค่ะ”
“โชคดีที่ไม่สาหัสอะไร ไม่ต้องผ่าตัด ทางโรงพยาบาลเลยเข้าเฝือกให้ฟรีและยังให้ยามากินอีกไม่น้อย”
“แต่ความจริงคือ…ฉันไม่ได้บอกอาการชัดเจนเท่าไหร่ เฮ้อ…แล้วยังเอาเรื่องหมออันไปบอกคนอื่นอีก แย่จริงๆ …”
พูดถึงตรงนี้ คุณยายก็ไม่สบายใจ อย่างไรเสียตอนนั้นเธอก็ฟ้องหมอน้อยคนหนึ่งกับฝ่ายกิจการแพทย์ ซึ่งนี่จะทำให้หมอน้อยเสียประวัติและไม่เป็นผลดีต่ออนาคต
ตอนนี้เองคุณยายก็พูดขึ้นว่า “ต่อมาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ประมาณหนึ่งปีเห็นจะได้ ตอนฉันหั่นผักเผลอหั่นไปโดนมือจนบาดเจ็บเลยรีบไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง บังเอิญหมอที่เจอก็เป็นหมออันอีก!”
“เขาอาจจำฉันไม่ได้ แต่…ฉันจำเขาได้ พอฉันเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดีเลยคิดจะกลับ ขอเปลี่ยนหมอคนใหม่”
“แต่หมออันตรวจแล้วก็บอกฉันว่าเอ็นขาดจะต้องผ่าตัด ตอนนั้นครอบครัวเรากำลังลำบากแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ฉันจะทำใจไปผ่าตัดได้ยังไง พวกเราไม่มีเงินเลย! ฉันเลยบอกให้เขาฆ่าเชื้อและพันแผลให้ฉันก็พอ! หมออันอธิบายอยู่นาน พูดถึงความสำคัญของเส้นเอ็น…แต่ครอบครัวเราไม่มีเงิน!”
“ฉันตัดสินใจหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา หมออันเห็นว่าในผ้าเช็ดหน้าที่ฉันหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อมีเศษเหรียญอยู่กองหนึ่งก็เข้าใจขึ้นมาทันที ถึงจะเป็นแบบนั้น…เขาก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องผ่าตัดเย็บเส้นเอ็น แต่พวกเราไม่มีเงินจริงๆ!”
“ต่อมาหมออันก็เย็บแผลให้ฉัน เย็บแผลให้ฉันในห้องตรวจ ส่วนค่าเย็บแผลก็ควักเอาจากกระเป๋าตัวเอง ตอนนั้นฉันจำได้ดี ฉันจ่ายเงินไปยี่สิบห้าหยวนเป็นค่าพันแผลและอีกห้าหยวนเป็นค่าลงทะเบียน”
“ตอนนั้นฉันเสียใจจริงๆ ฉันไม่กล้าบอกหมออันว่าตอนนั้นฉันฟ้องเรื่องเขา แล้วก็ไม่มีเงินให้เขาเพื่อแสดงความขอบคุณด้วย ได้แต่วิ่งออกมาเลย จากนั้นก็ไม่กล้ามาที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสองอีกเพราะกลัวเจอหมออัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ