ตอนที่ 1 ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์
เวลาสามทุ่ม
วิทยาลัยศิลปะฉินโจว
เขานอนสองมือประสานหลังศีรษะ เหม่อมองดวงดาวอยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย
ผืนฟ้าพร่างพรายแสงดาวเหนือศีรษะเหมือนกับโลกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นเขาซึ่งหาดาวเหนือไม่พบ ก็ยังรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลก หากแต่เป็นจักรวาลคู่ขนานซึ่งเรียกว่าบลูสตาร์
‘หลินเยวียน สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว’
นี่ก็เป็นตัวตนใหม่ของเขาหลังจากทะลุมิติเข้ามา
เขาได้รับสืบทอดทุกสิ่งจากเจ้าของร่างมา โดยเฉพาะจุดเด่นอย่างหน้าตาอันหล่อเหลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตนในโลกเดิมมีชื่อว่าอะไร และก็จำไม่ได้ว่าตนทะลุมิติมาทำไม จำได้แค่ว่าตนเองในโลกเดิมก็ดูดีมีสไตล์ไม่เบาเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนดังอีกด้วย?
ฉะนั้นแล้ว เขาจึงทึกทักว่าตนเองเป็น ‘หลินเยวียน’ ได้อย่างง่ายดาย
สำรวจความทรงจำของเจ้าของร่างสักหน่อยก็แล้วกัน
หลินเยวียนพบว่าเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ของโลกนี้นั้นแตกต่างจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิง
ประวัติศาสตร์มาถึงทางแยกในยุคราชวงศ์ฉิน ฝูซูสืบทอดราชกิจของอิ๋งเจิ้ง นำกองทัพแห่งต้าฉินกวาดล้างรวบรวมดินแดนต่างๆ ทำให้บูรพาทิศผงาดครองใต้หล้าในคราเดียว จนกระทั่งเมื่อร้อยปีก่อนจึงถูกแคว้นซย่าที่แข็งแกร่งเข้าแทนที่
ทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง
โลกนี้แบ่งเป็นแปดทวีป
พื้นที่ซึ่งหลินเยวียนอยู่นี้เรียกว่าฉินโจว
บนโลกซึ่งตัดขาดกับสงครามอย่างสิ้นเชิง ศิลปะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเสาะแสวงหาร่วมกัน ที่นี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างไม่เคยมีมาก่อน
‘ดินแดนในอุดมคติ’
หลินเยวียนนิยามไว้เช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองของผู้อยู่ในแวดวงศิลปะ
แต่ต่อให้เป็นดินแดนในอุดมคติอย่างยูโทเปีย ก็ยังมีความโชคร้ายเกิดขึ้น เฉกเช่นโชคร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างซึ่งหลินเยวียนทะลุมิติเข้ามาอยู่
เขาป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย
ถูกต้องแล้วละ นี่เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยครั้งทางโทรทัศน์ และเป็นคำที่มักจะตามมาด้วยดราม่ากองโตไปซะทุกครั้งที่คำนี้ปรากฏขึ้น
‘ป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย’
นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนค้นพบจากความทรงจำหลังจากที่ทะลุมิติเข้ามา ตนถึงขนาดได้รับร่างกายซึ่งโรยราเต็มทีมา หมอได้ตัดสินโทษประหารกับอาการของเจ้าของร่างไว้แต่แรกแล้วว่า
‘เด็กคนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า’
นี่เป็นความเจ็บปวดที่เจ้าของร่างไม่อาจแบกรับ ดังนั้นเขาจึงเลือกกินยานอนหลับปลิดชีพตนเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลซึ่งทำให้หลินเยวียนได้กลายมาเป็นเจ้าของร่างคนใหม่ เจ้าของร่างซึ่งปีนี้อายุสิบเก้าปีได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เหลืออันแสนน้อยนิดของเขาไปเสียแล้ว
เป็นเพราะหวาดกลัวความตาย?
จึงเลือกที่จะตาย?
เดิมทีหลินเยวียนคิดว่านี่คือเหตุผลหลักซึ่งทำให้เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง จนกระทั่งเขาเริ่มค้นหาลงไปในความทรงจำของเจ้าของร่างมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้อยู่บ้าง
เจ้าของร่างอยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว
พ่อของเขาป่วยตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว
เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงดูเขาโดยลำพังมาจนเติบใหญ่
เจ้าของร่างร่างกายอ่อนแอป่วยเสาะแสะมาแต่เด็ก ตั้งแต่มีไข้อ่อนๆ ไปจนถึงอาการโคม่า เขาเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นนิจเพื่อรักษาตัว รายจ่ายก้อนโตล้วนมีแม่ของเขาเป็นผู้แบกรับ
เงินบางส่วนก็ยืมมาบ้าง
เงินบางส่วนแม่ก็ดิ้นรนหามาบ้าง
ไม่รู้ว่าแม่ต้องทนลำบากยากเข็ญมากแค่ไหนเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างยังมีพี่สาวหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคนด้วย
พี่สาวและน้องสาวล้วนรู้หน้าที่
เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม พวกเธอจึงไม่เคยได้มีวันเวลาที่ดีสักเท่าไหร่
พี่สาวละทิ้งโอกาสเรียนต่อปริญญาโท เพื่อจะได้หารายได้เข้าบ้านโดยเร็วที่สุด
น้องสาวสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของพี่สาวมาแต่เด็ก เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัว
และฟางเส้นสุดท้ายก็คือ…
เจ้าของร่างได้สูญเสียคุณสมบัติซึ่งจะช่วยให้เขาไล่ตามความฝันได้
แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง มีพลังเสียงแข็งแกร่งมาแต่เกิด เสียงของเขานั้นนับว่าโดดเด่นเป็นเลิศในสาขาการขับร้อง ความฝันของเขาก็คือการได้เป็นนักร้อง
ทว่าตอนอยู่ปีหนึ่ง อาการป่วยของเขาก็กำเริบขึ้นเป็นครั้งแรก และการกำเริบครั้งนี้ก็ส่งผลโดยตรง ซึ่งก็คือ
เจ้าของร่างร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป
เขาป่วยจนคอพังเสียแล้ว ไม่สามารถทนการซ้อมร้องที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงสูงซึ่งเขาภาคภูมิใจหนักหนา
ด้วยความอับจนหนทาง
เขาจึงเบนไปยังสาขาการประพันธ์เพลงซึ่งไม่ได้ถนัดสักเท่าไร
และในชั้นปีที่สองนั้นเอง เขาก็เลือกจบชีวิตตนเอง
ไม่ใช่แค่เพราะความฝันมาถึงทางตัน แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีกต่อไป ทันทีที่ชีวิตเริ่มนับเวลาถอยหลัง ทุกวินาที ทุกนาทีล้วนแต่ทรมาน
หลังจากประมวลความทรงจำเหล่านี้
หลินเยวียนซึ่งทะลุมิติมาก็พลันเข้าใจในการตัดสินใจของเจ้าของร่าง เขาไม่สามารถใช้ศีลอันธรรมสูงส่งมากล่าวหาว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอ่อนแอ
พูดได้เพียงว่า…
ทุกคนต่างมีโชคร้ายของตนเอง และโชคร้ายของบางคนนั้นก็ยากเกินแบกรับมากกว่าคนอื่นๆ
เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนเราเกิดมาล้วนมีทุกข์’
ทว่าหลินเยวียนไม่มีทางเลือกปลิดชีพตน
ถึงแม้ร่างที่เขาได้รับสืบทอดต่อมานี้จะเป็นร่างที่อยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้หาอะไรทำอีกสักสองสามปี…ล่ะมั้ง?
เขียนเพลง
เขียนหนังสือ
ถ่ายทอดความรู้
หารายได้ให้ครอบครัว
ใช่แล้วละ หลินเยวียนเปลี่ยนแปลงอาการป่วยรักษาไม่หายของตนไม่ได้แล้ว แต่ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เขาอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนในครอบครัวได้
ความคิดพรรค์นี้รวดเร็วทันใจเสียจริง
หลินเยวียนแยกไม่ออกว่านี่เป็นเจตจำนงของเจ้าของร่างเดิม หรือว่าเป็นปณิธานของเขาเอง
สิ่งที่เขาได้ถ่ายทอดมานั้นอาจไม่ได้มีแค่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ยังมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุขซึ่งเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันพิศวงนี้
หลินเยวียนไม่ได้ต่อต้านความรู้สึกเช่นนี้
แต่เขาก็พยายามเค้นความทรงจำเกี่ยวกับงานศิลปะในโลกเดิม กระนั้นกลับพบว่าตนแทบจำอะไรไม่ได้ ราวกับว่าความทรงจำนั้นได้ถูกปิดกั้นไว้ทีละชั้นๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน