Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 213

สรุปบท ตอนที่ 213 ขั้นแรกสำเร็จ: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 213 ขั้นแรกสำเร็จ – Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

บท ตอนที่ 213 ขั้นแรกสำเร็จ ของ Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ในหมวดนิยายการเงิน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 213 ขั้นแรกสำเร็จ

ระบบยังคงรักษาความตื่นเต้นของเรื่องคนขุดสุสาน ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มคำลงไปเพื่อให้บรรยากาศสยองขวัญยิ่งขึ้น ในนิยายแนวขุดสุสานเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

สิ่งที่ระบบทำ ก็คือการทำให้ผู้อ่านรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงมากยิ่งขึ้นยามที่อ่านนิยาย

หนังผีน่ากลัวหรือว่านิยายน่ากลัว?

คนส่วนมากมักบอกว่าหนังผีน่ากลัวกว่า เพราะภาพที่ปรากฏแก่สายตาจะกระตุ้นอารมณ์ซึ่งอยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจ

แต่อันที่จริง ถ้าหากเล่นคำได้เหมาะสมก็สามารถถ่ายทอดบรรยากาศอันหนักหน่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะแตกต่างกับพวกภาพยนตร์หรือซีรีส์ แต่กลับกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมได้เหมือนกัน

หลินเยวียนรู้สึกว่า…

เรื่องคนขุดสุสานของระบบน่ากลัวมาก!

ในนั้นมีเนื้อหาบางส่วน ที่ลำพังคำบรรยายก็เห็นภาพได้อย่างชัดเจนแล้ว

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเนื้อเรื่องบางส่วนที่แลดูราบเรียบไม่ตื่นเต้น แต่เมื่อขบคิดโดยละเอียดแล้วเขย่าขวัญจนขนหัวลุก

ฉะนั้นแล้ว คำนิยามที่หลินเยวียนจะมอบให้เวอร์ชันนี้ก็คือ คนขุดสุสานPLUS!

แน่นอนล่ะ

เพียงจุดที่ควรน่ากลัวก็น่ากลัว ถ้าหากเขียนให้น่ากลัวเพียงเพื่อความน่ากลัว นั่นก็ไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่

เห็นได้ชัดว่าระบบเข้าใจจุดนี้ดี ฉะนั้นในเรื่องคนขุดสุสานเวอร์ชันนี้ เมื่อบรรยายเนื้อเรื่องเช่นกลไกสุสาน ก็ไม่ได้เน้นบรรยายความสยดสยอง แต่ถ่ายทอดออกมาจากจุดเด่นของนิยายทั้งสองประการ

ประณีต!

เร้าอารมณ์!

ความประณีตย่อมอยู่ที่การออกแบบกลไก การออกแบบสุสาน ระดับของสิ่งประดิษฐ์ที่ถ่ายทอดออกมามักมีความประณีตละเอียดอ่อนจนน่าทึ่ง

และเร้าอารมณ์ก็คือความอันตรายของกลไกเหล่านั้น เพราะทันทีที่เดินหมากผิดหนึ่งตา ก็จะแพ้ทั้งกระดาน

มีหลายครั้งหลายคราว ที่มัวจินเซี่ยวเว่ยจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เดิมพันด้วยชีวิต

น่าจะเป็นเพราะตัวละครอันดับหนึ่งของต้นฉบับเรื่องคนขุดสุสานอย่างหูปาอีเก่งกาจเกินไป มักจะให้ความรู้สึกสุขุมและฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ ดังนั้นระบบจึงเพิ่มระดับความยากของภารกิจ ทำให้หูปาอีเผชิญกับภยันตรายที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้า

ก่อนหน้านี้ระบบเคยบอกไว้ ว่าการดัดแปลงนิยายนั้นอ้างอิงจากต้นแบบของนักเขียนผู้ทรงอิทธิพล…

ตอนนี้หลินเยวียนรู้สึกชื่นชมนักเขียนต้นแบบท่านนี้ที่ระบบเลือกมามาก เพราะฝีมือในการดัดแปลงนิยายแบบนี้ ได้ยกระดับความยอดเยี่ยมในแต่ละแง่มุมของเรื่องคนขุดสุสานขึ้นไปอีกขั้น!

หลินเยวียนมีความทรงจำอยู่เพียงประปราย…

ตอนที่เขาอ่านเรื่องคนขุดสุสานในโลกเดิม ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวและชวนพิศวงแต่อย่างใด เพียงแค่รู้สึกแปลกใหม่ ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก

ดังนั้นเมื่ออ่านจนถึงเล่มหลังๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าไปแล้ว

ทว่าเรื่องคนขุดสุสานเวอร์ชันใหม่ที่เพิ่งอุบัติขึ้นมานี้ การออกแบบและวางโครงเรื่องในทุกๆ เรื่องก็สามารถทำออกมาได้อย่างสมเหตุสมผล

และบรรยากาศทำนองนี้ก็มีเอกลักษณ์ในตัวเอง จนผู้คนอยากวางก็วางไม่ลง

และนั่นทำให้หลินเยวียนรู้สึกเหงื่อตกขณะที่เขียนเรื่องนี้

คนทั่วไปเมื่อเผชิญกับความไม่ชอบมาพากลและสิ่งที่คาดไม่ถึง ส่วนมากจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่คล้ายคลึงกัน หลินเยวียนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า…

ตั้งแต่เด็กหลินเยวียนไม่กล้าดูภาพยนตร์สยองขวัญ จำได้ว่าในโลกเดิมเคยดูหนังซอมบี้ เขากลัวจนต้องมุดเข้าไปซุกใต้ผ้าห่ม

คำพูดปลอบใจว่าถ้าไม่ได้ทำความผิดก็ไม่จำเป็นต้องกลัวผีอะไรเทือกนั้น ใช้กับหลินเยวียนไม่ได้ผลหรอก

มิหนำซ้ำเขายังเคยทำความผิดอย่างการแอบกินไข่แดงแล้วถูกน้องสาวจับได้มาตั้งหลายครั้ง

ปรากฏว่าในสถานการณ์แบบนี้ หลินเยวียนต้องกัดฟันทนเขียนเรื่องคนขุดสุสานที่ชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าต้นฉบับ จะไม่ให้กลัวได้หรือ?

อย่างไรก็ดี ทันทีที่นึกว่าตนจ่ายเงินซื้อเรื่องคนขุดสุสานไปสิบล้านหยวน หลินเยวียนก็ฮึดสู้ขึ้นมาทันที!

นิยายที่ราคาแพงขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ยอมเขียนเพียงเพราะรู้สึกขลาดกลัว ก็เท่ากับว่าเขาเสียเงินมหาศาลไปฟรีๆ น่ะสิ!

……

ของอย่างความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้

เมื่อก่อนหลินเยวียนเคยฟังเรื่องซุบซิบนินทาจากเจี่ยนอี้

และออกใบอนุญาตลาหยุดให้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม

หลินเยวียนเริ่มรู้สึกว่าตนตาฝาดไปจริงๆ อาจารย์ไม่ชอบใจที่ตนลาหยุดหรอก

แต่อาจารย์จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลินเยวียน เขาไม่ได้ไม่เคารพอาจารย์ และไม่ได้ไม่เคารพมหาวิทยาลัย เพียงแต่ในตอนนี้เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากมหาวิทยาลัยเลยจริงๆ

หลินเยวียนเรียนด้วยการ์ดตัวละครหยางจงหมิงบวกกับเอฟเฟ็กต์อาจารย์ มีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นไหนๆ

ต่อให้ไม่ใช่วิชาเฉพาะทาง หลินเยวียนก็สามารถใช้แคปซูลความทรงจำมารับมือได้ แค่เปิดหนังสือผ่านตา เขาก็จดจำความรู้ทั้งหมดลงในสมองได้แล้ว

ไม่มีการเรียนแบบไหนจะได้ประสิทธิภาพสูงไปกว่านี้อีกแล้ว

สรุปคือ แม้ว่าตอนนี้หลินเยวียนจะยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง แต่เขาสามารถจัดการเวลาของตนได้อย่างอิสระแล้ว

เขาเลือกที่จะใช้เวลาเรียนหลังจากนี้ของตนในออฟฟิศดีกว่า

ช่วงเช้าวาดการ์ตูน

ช่วงบ่ายเขียนนิยาย

แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนดี

และเป็นเพราะมีเวลาเหลือเฟือในการพิมพ์นิยายออกมา การอัปเดตเรื่องคนขุดสุสานของหลินเยวียนจึงอยู่ในระดับที่รวดเร็วมาก

ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน หลินเยวียนก็พิมพ์เล่มที่หนึ่ง ตอนเมืองโบราณกลางทะเลทรายเสร็จสมบูรณ์แล้ว

“ฮู้ว”

หลินเยวียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะติดต่อบรรณาธิการหยางเฟิงสำนักพิมพ์คลังหนังสือซิลเวอร์บลู ‘หนังสือเล่มใหม่เขียนเสร็จแล้วครับ เดือนหน้าตีพิมพ์ได้ไหมครับ’

‘ส่งมาให้ผมดูหน่อยครับ!’

หยางเฟิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้รับข้อความ!

สำนักพิมพ์ทางฉินและฉีแย่งชิงตลาดกันครั้งใหญ่ ฉู่ขวงปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ในตอนนี้ อาจช่วยคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน