Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 214

ตอนที่ 214 นิยายเรื่องนี้น่ากลัวมาก

หยางเฟิงเฝ้ารอหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงมาหลายเดือน ดังนั้นหลังจากที่สนทนากับอีกฝ่ายไปคร่าวๆ แล้ว หยางเฟิงก็รีบเปิดอีเมลทันที

“ติ๊ง”

การแจ้งเตือนอีเมลดังขึ้น ฉู่ขวงส่งนิยายมาแล้ว และในตอนนั้นหยางเฟิงก็เห็นชื่อเรื่องของนิยายเรื่องนี้

“คนขุดสุสาน?”

ชื่อเรื่องแปลกประหลาดมาก

ให้ความรู้สึกชวนขนหัวลุก

หนังสือในครั้งนี้เป็นประเภทไหนกันนะ

หยางเฟิงกำลังจะพิมพ์ถามฉู่ขวงถึงหมวดหมู่ของหนังสือใหม่เรื่องนี้ ปรากฏว่ายังไม่ทันพิมพ์เสร็จ อีกฝั่งก็ออฟไลน์ไปแล้ว

นั่นทำให้หยางเฟิงผู้ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนในการสนทนากับฉู่ขวงเข้าใจในทันที ว่าวันนี้อีกฝ่ายคงไม่สนใจตนเองแล้ว

ขณะเดียวกัน

ด้านข้างของหยางเฟิง เสียงของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวหยาง เลิกงานแล้ว นายยังไม่กลับเหรอ”

“เลิกงานแล้ว?”

หยางเฟิงขมวดคิ้ว เขายังอยากอ่านคนขุดสุสาน หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงนี่นา นับเป็นความตื่นเต้นของการตั้งหน้าตั้งตารอบางอย่าง

“อย่ามัวอิดออดน่า ไปเร็ว”

เพื่อนร่วมงานตบบ่าหยางเฟิง “วันนี้ฉันจะนั่งรถนาย รถฉันเสีย ส่งเข้าอู่ไปแล้ว รบกวนนายไปส่งฉันที่บ้านหน่อย”

“ไม่มีปัญหา”

หยางเฟิงมองเพื่อนร่วมงาน ยิ้มเอ่ย “ค่ารถหนึ่งร้อยหยวน เหล่าจางฉันคิดนายราคามิตรภาพ”

เหล่าจางกลอกตา “รถเถื่อนน่ะสิไม่ว่า”

หยางเฟิงหัวเราะ “ล้อเล่นน่า…แต่บ้านนายอยู่ไกลมาก ฉันไปส่งนายก่อนแล้วกัน ตอนแรกฉันว่าจะทำโอทีต่อ จะอ่านหนังสือน่ะ”

เหล่าจางถาม “หนังสืออะไร”

หยางเฟิงตอบ “คนขุดสุสาน”

เหล่าจางเลิกคิ้ว “นิยายเทพเซียนกำลังภายในอีกแล้วเหรอ หลังจากฉู่ขวงเขียนเรื่องกระบี่เทพสังหาร บุกเบิกแนวเทพเซียนกำลังภายในแล้ว ระยะนี้คนก็เขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีอีกหลายคนที่เขียนแล้วประสบความสำเร็จตามไปด้วย…”

เหล่าจางย่อมคิดว่าเรื่องคนขุดสุสานเป็นนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน

นั่นก็เพราะคาดเดาจากคำว่า ‘สุสาน’ ในเรื่องคนขุดสุสาน

ชื่อเรื่องฟังดูลี้ลับชวนพิศวงเช่นนี้ โดยมากก็สามารถจินตนาการเชื่อมโยงไปถึงนิยายเทพเซียนกำลังภายใน

“ไม่ได้ตามกระแสหรอก”

หยางเฟิงชำเลืองมองเหล่าจาง “หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง”

ถ้าคนอื่นเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน จะเรียกว่าตามกระแส แต่สำหรับฉู่ขวงแล้วไม่นับ

หยางเฟิงยังคิดว่าคนขุดสุสานเป็นนิยายเทพเซียนกำลังภายใน

เหล่าจางชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา กล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น “ที่แท้ก็เป็นหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง ใช้ได้เลย ลองฟังดู!”

คนของกองบรรณาธิการ ส่วนมากจะชื่นชอบผลงานของฉู่ขวง เหล่าจางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ได้ งั้นเราเปิดฟังระหว่างขับรถก็แล้วกัน”

หยางเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ ที่บอกว่า ‘ฟัง’ ก็หมายถึงฟังหนังสือเสียง

เนื่องจากบรรณาธิการต้องขับรถไปกลับจากที่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรือดูโทรศัพท์ ฉะนั้นบางครั้งบางคราวก็จะฟังหนังสือเสียง

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับฟังหนังสือ ซึ่งนับว่าอัจฉริยะและสามารถปรับอารมณ์ตามบริบทให้ฟังดูเป็นธรรมชาติ

ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพจะสู้การใช้เสียงมนุษย์อ่านไม่ได้ แต่ยังดีกว่าการอ่านแบบแห้งเหี่ยวไร้อารมณ์เป็นไหนๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ขึ้นไปนั่งบนรถ

ขณะเดียวกัน ฟังก์ชันเสียงอัจฉริยะก็เปิดใช้งาน

[การขุดสุสานไม่ใช่การทัศนาจรชมทิวทัศน์ ไม่ใช่การขับขานบทกวี แต่เป็นทักษะแขนงหนึ่ง ทักษะในการทำลาย เมื่อขุนนางสมัยโบราณสร้างสุสาน จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องไม่ให้สุสานของตระกูลตนถูกขุด ด้วยเหตุนี้จึงติดตั้งกลไกและอาวุธลับสารพัดชนิดไว้ในสุสาน ทั้งการซุ่มโจมตี กำแพงหิน ทรายดูด ศรอาบยาพิษ แมลงพิษ หรือแม้แต่หลุมกับดัก…]

รถสตาร์ตเครื่องแล้ว

แต่หยางเฟิงและเหล่าจางกลับอดหันไปมองหน้ากันไม่ได้

ทำไมเปิดเรื่องมาก็ขุดสุสานเลยล่ะ

หรือว่าจะไม่ใช่แนวเทพเซียนกำลังภายในจริงๆ?

ทั้งสองรู้สึกสับสน แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จึงตัดสินใจฟังต่อไป

[คุณปู่ของผมชื่อว่าหูกั๋วหวา บรรพบุรุษของสกุลหูเป็นเจ้าของที่ดินผู้มีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียง ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์สุดได้กว้านซื้อเรือนกว่าสี่สิบห้องซึ่งเชื่อมต่อกันในเมือง ระหว่างนั้นก็เคยเป็นข้าราชการและพ่อค้าวาณิชมาก่อน…]

เมื่อฟังถึงตรงนี้ หยางเฟิงและเหล่าจางก็พอจะเข้าใจแล้ว

คนขุดสุสานไม่ใช่นิยายเทพเซียนกำลังภายในจริงๆ ด้วย

สไตล์ของคำบรรยายสมจริง ให้กลิ่นอายของยุคสมัย แถมเรื่องราวยังบรรยายโดยบุคคลที่หนึ่ง…

บุคคลที่หนึ่ง?

ทุกวันนี้ยังมีคนกล้าบรรยายเรื่องราวจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่งด้วยหรือ

หยางเฟิงรู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมา

ฉู่ขวงก็ยังคงเป็นฉู่ขวงคนเดิม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน