Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 225

ตอนที่ 225 สุดท้ายหนีไม่พ้นดินกลบหน้า

ข้อความโฆษณาคุยโวเสียยกใหญ่ แถมหน้าปกยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเผยเรียวขายาววับๆ แวมๆ เพื่อตกเหยื่อ เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศสามารถเข้าไปอยู่ในกลุ่มหนังห่วยแตกในทัศนะของเติ้งฉือได้ทันที ดังนั้นเดิมทีเติ้งฉือจึงไม่คิดจะกดเข้าไปดู

แต่ในเมื่อภาพยนตร์เจ้ากรรมเริ่มเล่นแล้ว เติ้งฉือกลับไม่ได้รีบถอยหลังกลับทันที

ภาษิตโบราณว่าไว้ยังไงนะ

ไหนๆ ก็มาแล้ว…

ปืนก็ยิงออกไปแล้ว ต่อให้น้ำตานองหน้าก็ต้องสู้ต่อจนจบศึก…

ตนเป็นคนกดเปิดหนังเรื่องนี้เอง ดูสักหน่อยก็คงไม่ถึงกับตาบอดล่ะมั้ง

และขณะที่เติ้งฉือกำลังครุ่นคิดไปเรื่อยๆ เนื้อเรื่องก็เริ่มต้นขึ้น

ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่าถังปั๋วหู่ ปราดเปรื่องทั้งการเขียนบทกวีและจิตรกรรม ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน[1] [2]

เติ้งฉือรู้ว่าเมืองซูของมณฑลฉิน ในสมัยก่อนมีชื่อว่าซูโจว

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ฉากเปิดของภาพยนตร์เรื่องนี้

ก็เห็นว่าถังปั๋วหู่หยิบพู่กันขึ้นมาด้วยอย่างมีมาด

เติ้งฉือคิดว่าตัวเอกคนนี้กำลังจะเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน เขียนตัวอักษรหรือวาดภาพไปตามประสา ปรากฏว่าหมอนี่กำลังย่างปีกไก่อยู่

ที่ไหนได้ พู่กันนี้ก็ไม่ได้ใช้จุ่มน้ำหมึก แต่กลับใช้จุ่มซอส?

สารบบความคิดของนักเขียนบทคนนี้เป็นยังไงกัน

น่าสนใจดีจริงๆ

หลังจากนั้น จู้จือซานก็เข้าฉาก

ภาพยนตร์ใช้บทสนทนาเรียบง่ายโผงผางแนะนำตัวละครจู้จือซาน หนึ่งในสี่ยอดนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน และเป็นสหายคนสนิทของถังปั๋วหู่

นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเช่นเดียวกัน

ประเด็นสำคัญอยู่ที่จู้จือซานคนนี้ ไม่ได้มีมาดของนักปราชญ์แม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นที่ดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าถังปั๋วหู่ซึ่งใช้พู่กันวาดภาพจุ่มซอสย่างปีกไก่ซะอีก

เขาเป็นผีพนัน มักจะแพ้พนันจนสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นก็มาขอให้ถังปั๋วหู่วาดภาพให้ตนนำไปขาย

ถึงแม้ว่าบทสนทนาจะมุทะลุกระดากหู แต่ก็สอดแทรกรายละเอียดยิบย่อยไว้ไม่น้อย

หลังจากนั้น ถังปั๋วหู่จึงลงมือวาดภาพในท้ายที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เติ้งฉือตะลึงงันไปก็คือ ภาพของถังปั๋วหู่ ถึงกับใช้ร่างกายของจู้จือซานวาดภาพ…

เคร้งๆๆ

ตึงๆๆ

ใช้วิธีนี้ ถังปั๋วหู่ก็ยังวาดภาพหมึกดำออกมาได้อย่างสวยสดงดงามจริงๆ!

เกินจริงหรือเปล่า?

เกินจริงมาก!

ไร้สาระหรือเปล่า?

ไร้สาระมาก!

ช่องว่างในสมองของนักเขียนบทนั้นอัดแน่นไปด้วยจินตนาการ

แต่ไม่รู้ว่าทำไม เติ้งฉือถึงยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หัวเราะก็เถอะ

เติ้งฉือเป็นคนเส้นลึก เมื่อเขาบอกว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ‘น่าสนใจ’ ก็นับว่าเป็นคำประเมินที่สูงมากแล้ว

ในตอนนี้ เติ้งฉือไม่รีบร้อนถอยหลังกลับอีกต่อไป

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดึงดูดความสนใจของเขาได้สำเร็จ

ขณะนั้นเอง

เติ้งฉือก็เห็นคอมเมนต์กระสุนซึ่งวิ่งอยู่ด้านบนจอ เมื่อเทียบกับคนเส้นลึกอย่างเติ้งฉือ คอมเมนต์กระสุนเหล่านี้แลดูสนุนสนานเฮฮากันเหลือเกิน

‘อห!’

‘ขำปอดโยก!’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ใช้ไอ้นั่นวาดเป็นหนอนในจงอยปากพญาอินทรีเนี่ยนะ…’

‘แล้วคุณล่ะ ใหญ่เท่าพญาอินทรีหรือเล็กเท่าหนอนในปากพญาอินทรี’

‘แต่ของผมรับรองไม่คดไม่งอ’

‘…’

เติ้งฉือไม่ได้กดปิดคอมเมนต์กระสุน

ถึงแม้ว่าเขาจะเส้นลึก แต่เขาอ่านคอมเมนต์ขำขันของชาวเน็ตอย่างเมามัน รู้สึกอารมณ์ดีมากทีเดียว

อาจเป็นเพราะว่า ความสุขนั้นส่งต่อถึงกันได้?

เรื่องราวดำเนินต่อไป

ที่แท้ถังปั๋วหู่ก็มีภรรยาแปดคน

เพียงแต่สไตล์ของภรรยาทั้งแปดคนนี้ออกจะแปลกพิลึก

พวกนางหมกมุ่นกับการละเล่น ใช้ไก่ในภาพวาดของถังปั๋วหู่ไปแปะในไพ่นกกระจอก แถมยังใช้บทกวีของถังปั๋วหู่ไปปูโต๊ะ…

ถังปั๋วหู่ฝืนเค้นรอยยิ้ม

มารดาของเขากลับไม่เข้าใจเรื่องนี้ “ตอนนี้เจ้าก็ยังหนุ่มยังแน่น หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ มีชาติตระกูลร่ำรวย ภรรยามากมาย เจ้าน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ไฉนวันๆ เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเช่นนี้เล่า”

เมื่อดูมาถึงตรงนี้ เติ้งฉือก็พลันรู้สึกว่าตนถูกแทงใจดำเข้าอย่างแรง

ถังปั๋วหู่ เหมือนกับตนเหลือเกิน!

และมักจะมีคนไม่เข้าใจเติ้งฉือ บอกว่าเติ้งฉือทั้งหล่อทั้งรวย แฟนก็มีแต่สวยๆ ทำไมถึงยังเป็นโรคซึมเศร้าได้อีก…

ชั่วขณะนั้น เติ้งฉือรู้สึกว่าตนเข้าใจหัวอกของถังปั๋วหู่เหลือเกิน

น่าเสียดายที่ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ยังไม่ทันได้ส่งผ่านมา ก็ถูกเจือจางด้วยฉากต่อไปซะแล้ว เพราะภรรยาทั้งแปดคนของถังปั๋วหู่พร้อมใจกัน…

แขวนคอ?

ถังปั๋วหูู่กล่าวชมเชย “ทั้งแปดคนแขวนคอพร้อมกัน น่าทึ่งเสียยิ่งกระไร!”

เติ้งฉือเริ่มเกิดความรู้สึกอยากหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก

ภรรยาแปดคนของนายจะแขวนคอ นายแค่รู้สึกว่าน่าทึ่งเนี่ยนะ?

……

เขาถูกดึงดูดด้วยสารบบความคิดของตัวเอกแล้ว หรือจะกล่าวให้ชัดก็คือถูกสารบบความคิดของนักเขียนบทดึงดูดซะแล้ว…

ภาพยนตร์เรื่องนี้ สไตล์ของเรื่องได้เบนไปโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว

ทว่าการออกนอกลู่นอกทางของเรื่องราวแต่ละครั้ง กลับเพิ่มอรรถรสขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เติ้งฉือดูภาพยนตร์ตลกมามาก เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศไม่เป็นไปตามแบบแผนมากที่สุด!

และที่ไม่เป็นไปตามแบบแผนมากที่สุดก็คือ ยามที่หนิงอ๋องส่งคนมาเชิญถังปั๋วหู่ให้เข้าร่วมกับตน ถังปั๋วหู่กลับแสร้งบอกว่าป่วย ขณะที่กำลังแทะปีกไก่อย่างเอร็ดอร่อย

อีกฝ่ายนึกแคลงใจ ถังปั๋วหู่จึงร้องเพลงออกมาอย่างสบายใจเฉิบ “ก็เพราะ…ปีกไก่ตุ๋นนี้หนาข้าชอบกิน…”

อีกฝ่ายร้องรับ “แต่แม่เจ้าบอกว่าเจ้ากำลังจะสิ้นใจ…”

มารดาร้องต่อ “จะตายแล้วต้องรีบกินให้หนำใจ ถ้าไม่กินตอนนี้ ตายแล้วตอนไหนจะได้กิน ชะเอิงเอย…”

ฮะ?

อะไรฟระเนี่ย

เติ้งฉือมุมปากกระตุก รู้สึกว่าตนถูกดึงดูดโดยสมบูรณ์

เล่นอะไรแบบนี้ได้ด้วยเรอะ?

ยังร้องเพลงกันออก?

กำลังจะก่อกบฏเชียวนะโว้ย จริงจังกันหน่อยได้ไหม

และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ…

ร้องรับส่งกันเป็นจังหวะจะโคนมากซะด้วย?

เติ้งฉือรู้สึกว่าตนกลั้นขำไม่ไหวแล้ว

และเมื่อถึงฉากที่หมอมาจับชีพจรให้ถังปั๋วหู่ ถังปั๋วหู่กลับปรับชีพจรให้เป็นจังหวะดนตรี พลอยให้เติ้งฉือยกมุมปากยิ่งกว่าเดิม

คอมเมนต์กระสุนก็ยิ่งสนุกสนานกันไม่หยุด

‘อมก สนุกได้ขนาดนี้เลยเหรอ’

‘ช่วยผมด้วย ขำแทบขิต!’

‘เชื่อแล้วว่าเป็นหนังของเซี่ยนอวี๋ เพลงในเรื่องสุดจัดปลัดบอกไปเลย!’

‘ปล่อยเป็นซิงเกิลออกมาเลย!’

‘นี่มันหนังอะไรกันครับเนี่ย’

‘นักเขียนบทต้องไม่ใช่คนบลูสตาร์แน่ มีแค่มนุษย์ต่างดาวเท่านั้นแหละถึงจะมีสารบบความคิดแบบนี้!’

‘…’

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไร้ซึ่งความเคร่งครัด ขุดตรรกะมาอธิบายก็ไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะ หนำซ้ำยังคิดว่าตลกดีซะอีก

ตลกโปกฮา!

เพลงจังหวะโจ๊ะๆ ติดหู!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน