Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 233

ตอนที่ 233 เป็นผู้ช่วยงานเหมือนกันหมดนี่แหละ

แผนกภาพยนตร์ของสตาร์ไลท์ จึงมีแนวโน้มที่จะพากันปิดปากเงียบโดยอัตโนมัติ ทั้งยังมีความรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เคยพูดจาแปลกๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋มาไม่มากก็น้อย

“ใครจะไปคิดล่ะ…”

“คิดไปคิดมา พวกเราสู้มนุษย์ต่างดาวคนหนึ่งไม่ได้เลย”

“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศดังได้ยังไง ผมดูหนังมาแล้ว…แต่ลูกผมชอบหนังเรื่องนี้มากเหลือเกิน อาจเป็นเพราะผมแก่แล้ว ตามยุคสมัยไม่ทัน”

“ให้เซี่ยนอวี๋ทำหนังเข้าโรงไปเลย แล้วพวกเราไปทำหนังออนไลน์”

“สงสารก็แค่หัวหน้าโจว…หนังเรื่องนี้ถูกหัวหน้าโจวขายไปแล้ว ฉันได้ยินว่าในการประชุมระดับสูงก็ถูกด่าไปยกหนึ่ง”

“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน โดนสวดยับตรงนั้นเลย”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่บริษัทเริ่มเซ็งแล้วเหมือนกัน พวกแกดูแล้วกัน ทำเป็นโพสต์แสดงความยินดี”

“…”

คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก

เหล่าโจวถูกสวดยับจริงๆ

คนแผนกภาพยนตร์กลุ่มนี้เองก็เริ่มสงสัยในชีวิตแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากครั้งหนึ่ง

กล่าวให้ชัดก็คือนี่เป็น ‘การตัดสินใจร่วมกันที่ผิดพลาด’ ซึ่งน่าสลดใจครั้งหนึ่ง

แต่การตบตาทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานของสตาร์ไลท์ก็แยบยลมากเหลือเกิน

บริษัทรีโพสต์ข้อมูลและบทวิจารณ์ต่างๆ ในช่วงนี้เกี่ยวกับเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศบนบัญชีปู้ลั่วทางการของบริษัท

ง่ายๆ คำเดียว คุยโวอย่างบ้าคลั่ง

แทบจะเหมือนกับการพูดตรงๆ ว่า ‘ดูหนังเรื่องนี้กันหรือยัง? สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ เป็นของสตาร์ไลท์เราเองแหละ’

หลังจากนั้นบรรดาไทยมุงซึ่งไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงต่างก็เข้ามาป่าวร้องว่า ‘สุดยอด’

ส่วนคนในวงการไม่ได้กินองุ่น จึงไปโพทะนาว่าองุ่นเปรี้ยวซะอย่างนั้น

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว บริษัทยังนับว่าได้กำไรมาไม่น้อย

ส่วนหลินเยวียน…

ช่วงนี้เขาถือเครื่องคิดเลขคำนวณทุกวันว่าตอนนี้ตนได้เงินมาเท่าไหร่แล้ว

ต้องบอกก่อนว่าหลินเยวียนได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศจะดังเป็นพลุแตก

แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเลขของรายได้จากหนังเรื่องนี้ กลับทำให้หลินเยวียนต้องอึ้งไปเช่นกัน!

รายได้หลายสิบล้านเชียวนะ!

และจากแนวโน้มของกระแสนี้ จะยังมีคนกดเข้าไปดูเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศอย่างต่อเนื่อง และภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ!

เขียนนิยาย…

ปล่อยเพลงใหม่…

สอนวาดภาพ…

ลองคิดดูว่ามีอาชีพไหนที่ทำเงินได้เร็วกว่าผลิตภาพยนตร์บ้าง?

การผลิตภาพยนตร์ช่างเป็นความสุขอันหวานล้ำ!

ข้อดีของภาพยนตร์ออนไลน์ ไม่ได้เป็นรองภาพยนตร์ชนโรงเลย!

เพียงแต่มีจุดหนึ่งที่หลินเยวียนอยากแถลงไขกับโลกภายนอก

ในความจริงแล้ว ต้นทุนของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นไม่ใช่แค่เก้าล้านหยวน

ไอเทมของระบบที่หลินเยวียนให้นักแสดงใช้ก็มาจากเงินที่เขาควักจ่ายไป แถมราคายังสูงลิบลิ่วอีกด้วย!

แต่ก็เหมือนกับที่ภาษิตโบราณกล่าวไว้…

ต้องหว่านเมล็ดเสียก่อน จึงจะได้ผล

ถ้านักแสดงไม่ใช้ไอเทม สุดท้ายแล้วการแสดงใช้ไม่ได้ ผลลัพธ์ของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศไม่ดีแบบนี้หรอก

มีเพียงจุดเดียวที่น่าเสียดายก็คือจำนวนผู้ติดตามของเซี่ยนอวี๋นั้นเพิ่มขึ้นมากเกินไป

ถ้านำจำนวนแฟนคลับเหล่านี้ไปเพิ่มให้ฉู่ขวงได้ก็ดีน่ะสิ

หลินเยวียนถึงกับกำลังใคร่ครวญว่าจะใช้บัญชีผู้ใช้ของฉู่ขวงโพสต์ไปว่า…

อันที่จริง ฉู่ขวงเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ

ความคิดนี้ผ่านมาเพียงแวบเดียว เพราะท้ายที่สุดหลินเยวียนก็ตัดสินใจปล่อยมันไป

ถ้าทำเช่นนี้ โอกาสเสี่ยงที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยจะสูงมาก

ถึงอย่างไรบริษัทก็รู้กันถ้วนหน้าว่าเซี่ยนอวี๋คือเขา และทุกคนรู้ว่าระหว่างกระบวนการถ่ายทำ ตนก็อยู่ที่กองตลอด…

ส่วนเรื่องบทกวีในภาพยนตร์ ที่จริงก็ได้อานิสงส์จากเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศที่ระบบส่งมอบให้เช่นกัน

บทภาพยนตร์นี้ละเอียดมาก ละเอียดจนแม้แต่เขียนบทกวีเหล่านี้เอาไว้ด้วย

โชคดีที่นี่ไม่ใช่จุดที่ไม่สามารถอธิบายได้

เพราะถึงอย่างไร…หากเขียนเนื้อเพลงได้ดี หมายความว่าทักษะด้านวรรณกรรมต้องดีอย่างแน่นอน

ใครจะกล้าปฏิเสธฟางเหวินซาน[1]และคนอื่นๆ ที่เขียนเนื้อร้องทำนองเพลงล่ะว่าไร้ซึ่งความสามารถด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม?

เมื่อมีเงื่อนไขก่อนหน้านี้แล้ว ตัวตนในฐานะเซี่ยนอวี๋ของหลินเยวียนสามารถเขียนบทกวีโบราณเหล่านี้ออกมาได้ ก็สามารถเข้าใจได้

เรื่องนี้สมเหตุสมผล และใช้ตรรกะอธิบายได้

อย่างไรซะ ในอนาคตนามแฝงเซี่ยนอวี๋นี้เพียงแต่โฟกัสไปที่การเขียนเนื้อร้องทำนองเพลง รวมทั้งการเขียนบทก็พอแล้ว

……

เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มโด่งดัง ความสำเร็จของมันไม่ใช่ส่งผลต่อคนเพียงคนเดียวแน่นอน

เซี่ยนอวี๋เป็นนักเขียนบทย่อมได้เฉิดฉายอย่างแน่นอน

แต่ทั้งผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานฝ่ายผลิตหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ได้รับผลประโยชน์อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้!

คนแรกก็คือนักแสดงนำชายอย่างเฮ่อเซิ่ง

ในฐานะนักแสดงตัวชูโรงของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ เฮ่อเซิ่งจึงโด่งดังโดยไม่ทันตั้งตัวหลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉายได้สองสัปดาห์!

โฆษณามายื่นข้อเสนอถึงที่ ไม่ทันไรก็พลอยให้ธรณีประตูของสตาร์ไลท์แทบพัง

เฮ่อเซิ่งเป็นศิลปินของสตาร์ไลท์

แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้เขาจัดอยู่ในระดับนักแสดงตัวประกอบในสตาร์ไลท์เท่านั้น

ในตอนนี้ เขากลับกลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงของวงการภาพยนตร์ไปแล้ว!

เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าผู้จัดการของบริษัทอย่างจ้าวเจวี๋ยปลื้มปริ่มเป็นที่สุด เธอจัดให้เฮ่อเซิ่งไปอยู่ในความดูแลของผู้จัดการฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งในทันที

หลังจากบริษัทปรับเปลี่ยน ในปัจจุบันนี้ศิลปินในความดูแลของจ้าวเจวี๋ยจึงมีจากทั้งวงการภาพยนตร์ซีรีส์ และวงการเพลง

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนเฟ้นหาและดึงตัวนักร้องหน้าใหม่หลายคนให้กับจ้าวเจวี๋ย

ตอนนี้หลินเยวียนถึงกับเริ่มช่วยจ้าวเจวี๋ยปั้นนักแสดงมากพรสวรรค์ให้กับบริษัทแล้ว!

น่ากลัวจริงๆ!

ถ้าความสำเร็จในครั้งนี้ของหลินเยวียนไม่ใช่ความบังเอิญ ถ้าความสามารถในการเขียนบทของหลินเยวียนนั้นรับประกันได้ เช่นนั้นมูลค่าของเขาต่อบริษัทนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อเพลงคนอื่นๆ เลย

เผลอๆ อาจสูงกว่าด้วยซ้ำ!

ด้วยนิสัยของประธานกรรมการ เกรงว่าในอนาคต หลินเยวียนคงจะเดินวางก้ามในสตาร์ไลท์ได้อย่างสบายๆ!

พ่อเพลงตัวน้อย?

ไม่ใช่แค่นั้นหรอก…

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนอยากถ่ายทำภาพยนตร์ บริษัทก็ปล่อยให้เขาทำ ตอนนั้นทั้งบริษัทลือกันว่าหลินเยวียนเป็นองค์รัชทายาทของสตาร์ไลท์…

เมื่อมองในตอนนี้ คำอธิบายนี้คล้ายกับว่าจะเหมาะสมกว่า ‘พ่อเพลงตัวน้อย’ ซะอีก!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน