Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 251

สรุปบท ตอนที่ 251 ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลได้: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปตอน ตอนที่ 251 ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลได้ – จากเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

ตอน ตอนที่ 251 ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลได้ ของนิยายการเงินเรื่องดัง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 251 ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลได้

สองวันให้หลัง เหล่าโจวก็แจ้งหลินเยวียนว่า เรื่องนักปรับเสียงเปียโนผ่านการตรวจสอบแล้ว เงินลงทุนในเบื้องต้นสิบล้านหยวน ซึ่งเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้า ทว่าเงินลงทุนบริษัทจะแบ่งกับหลินเยวียนคนละครึ่ง อำนาจในการตัดสินใจเรื่องทีมงานเป็นของหลินเยวียน

ไม่มีการขัดขวางใดๆ

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะหลินเยวียนประสบความสำเร็จไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังเป็นเพราะจากบทของเรื่องนักปรับเสียงเปียโน มองดูก็รู้ว่าต้นทุนไม่สูง หลินเยวียนซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับผลกำไรห้าล้านหยวนต้องการสร้างภาพยนตร์ สำหรับบริษัทแล้วไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร อย่างน้อยในตอนนี้ทุกคนก็ไม่มีทางคิดว่าการที่หลินเยวียนผลิตภาพยนตร์นั้นเป็นเรื่องไร้สาระอีกต่อไป

ยังมีเหตุผลที่สามอีก

เหตุผลข้อนี้ก็คือเหล่าโจวคุยกับหลินเยวียนเป็นการส่วนตัว “ทางแผนกภาพยนตร์คิดว่าบทของเรื่องนักปรับเสียงเปียโนนั้นสร้างสรรค์มาก คุณภาพก็ไม่มีปัญหา ตราบใดที่โปรดักชันดี โดยพื้นฐานแล้วก็ย่อมทำเงินได้ แต่จากสภาวการณ์ของหนังแนวระทึกขวัญ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำเงินได้น้อย ถ้าอยากทำรายได้ถล่มทลายคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นบริษัทเลยหวังว่าหนังเรื่องนี้ของนายจะได้คำชื่นชมในแง่ดี คำชื่นชมเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับสตาร์ไลท์ ถ้าได้รางวัลก็ยิ่งดี…”

“ครับ”

หลินเยวียนไม่ได้พูดให้มากความ

อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาแล้ว จะทำเงินได้มากไหม ถึงอย่างไรบทภาพยนตร์ก็ราคาแพงมาก และผลงานที่ระบบตั้งราคาขายไว้สูง โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นเรื่องที่มีศักยภาพในการทำเงินมากทีเดียว เขายังไม่เคยได้ผลงานที่ขาดทุนจากระบบเลยสักครั้ง

ส่วนเรื่องได้รางวัล…

ถ้วยรางวัลนี่ทำจากทองคำหรือเปล่านะ?

เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย หลินเยวียนตัดสินใจคัดเลือกนักแสดงดู เมื่อคัดเลือกเสร็จแล้วจึงแจ้งเรื่องไปให้แผนกภาพยนตร์อนุมัติอย่างเป็นทางการ เรื่องนักปรับเสียงเปียโนต้องการนักแสดงนำชายฝีมือดี เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องแสดงเป็นคนที่แสร้งเป็นคนตาบอด จึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์สูงมากทีเดียว

ในตอนนั้นเป็นช่วงกลางเดือนย่างเข้าปลายเดือนกันยายน

เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้อ่านเรื่องจิตวิญญาณสือจี่ก็เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และการอัปเดตการ์ตูนเรื่องนี้ก็เร่งขึ้นพร้อมกับการมาถึงของผู้ช่วยใหม่ทั้งสองคน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นของการ์ตูน

หลายคนเริ่มเรียกตัวเอกว่าราชาโอสถจนชินปาก คำเรียกว่า ‘จิตวิญญาณยาปลุกอารมณ์’ ก็ยิ่งหยั่งรากลึกลงในจิตใจของผู้คน แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนมีสองด้าน มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด หลังจากที่การ์ตูนอัปโหลดไปเรื่อยๆ บนพื้นที่แสดงความคิดเห็นก็ปรากฏเสียงของผู้ที่ไม่พอใจบ้างบางครั้งคราว

‘ไร้ศีลธรรม’

‘การ์ตูนโป๊’

‘ออกแบบตัวละครไม่ดี’

ผู้อ่านการ์ตูนส่วนมากล้วนเป็นวัยรุ่น ผู้อ่านวัยรุ่นมักถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย ฉะนั้นเมื่อมีพวกไร้เหตุผลปรากฏตัวขึ้น ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะฝีปาก แน่นอนว่าส่วนมากก็เป็นการทะเลาะกัน แต่ก็มีบางส่วนที่ตอบโต้กลับไปอย่างมีเหตุมีผล

ตัวอย่างเช่นมีคนตำหนิเรื่องการออกแบบตัวละคร

ก็มีแฟนคลับท่านหนึ่งใช้ชื่อว่า [แก้จากต้นเหตุ] ตอบกลับ ‘ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้ติดดินมากสำหรับการ์ตูนแนวอาหาร ก่อนอื่นแรงบันดาลใจในการทำอาหารของซิ่งผิง ไม่ได้มาจากพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด แต่มาจากการขบคิดและทดลองทำอย่างอย่างไม่ย่อท้อ และการ์ตูนแนวทำอาหารเมื่อก่อน มีเรื่องไหนบ้างที่ตัวเอกไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร’

นี่เป็นเซตติงที่ไม่เลวเลยจริงๆ

เพราะไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้จึงพ่ายแพ้ในการประชันฝีมือทำอาหาร ทว่าผู้คนส่วนมากมักคิดว่าผู้ที่มีพรสวรรค์จะไม่มีวันพ่ายแพ้ พวกเขามักจะใช้ข้ออ้างเช่นนี้ปกปิดความรู้สึกของตน

ในที่สุดบัญชีผู้ใช้ปู้ลั่วของอิ่งจือ ก็มีผู้ติดตามทะลุยี่สิบล้านคนแล้ว น่าเสียดายที่ตัวเลขนี้ยังคงห่างไกลกับฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ อีกสองบัญชีนั้นมีผู้ติดตามเกือบหกสิบล้านคนแล้ว

โดยเฉพาะบัญชีของฉู่ขวง

เนื่องจากกระแสของเรื่องคนขุดสุสาน ความรวดเร็วในการเพิ่มขึ้นของแฟนคลับเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งปู้ลั่ว นั่นทำให้หลินเยวียนมีความหวังที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ เพราะเป้าหมายของเขาในฐานะฉู่ขวงก็คือจำนวนแฟนคลับทะลุหนึ่งล้าน

ในปัจจุบันนี้

เรื่องคนขุดสุสานของฉู่ขวงได้วางขายออกไปแล้วสามเล่ม ด้วยการอัปเดตอย่างรวดเร็วเฉกเช่นที่ผ่านมา ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ จินมู่ในฐานะผู้จัดการของหลินเยวียน ได้มีความคิดที่จะเจรจากับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูเกี่ยวกับสัญญาใหม่ของฉู่ขวง

ตำแหน่งของจินมู่นั้นชัดเจนมาก

สถานะของเขาหลังจากนี้ ก็คือผู้จัดการของทั้งฉู่ขวงและอิ่งจือ ถึงอย่างไรตัวตนทั้งสามของหลินเยวียนก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน มีสองตัวตนที่มีผู้จัดการร่วมกันก็ไม่ใช่เรื่องชวนตกใจแต่อย่างใด เพียงแต่ประสิทธิภาพในการทำงานของจินมู่ดีกว่าหลินเยวียนมาก ก่อนหน้านี้หลินเยวียนล้วนทำไปตามขั้นตอน ทว่าจินมู่ช่วยขบคิดแทนหลินเยวียน ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวตนของเขาได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า

ซึ่งหลินเยวียนเองก็สนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่

แทนที่จะรอให้นายทุนมาขึ้นค่าแรงให้ตน ไม่สู้ให้ผู้จัดการของตนไปเสาะหาผลกำไรที่มากกว่าดีกว่าเหรอ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงความคิดทั่วไป โดยเฉพาะในยามที่การสั่งผลิตผลงานแต่ละประเภทกับระบบนั้นมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ

ระบบไม่มีทางจำกัดการบริโภคที่สูง

และเงินก็ยังคงเป็นสิ่งที่หลินเยวียนต้องการวันยังค่ำ!

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน