ตอนที่ 275 ปิดกล้อง
หลินเยวียนเรียบเรียงเพลงเดโมเสร็จภายในวันนั้น แน่นอนว่านี่เป็นเวอร์ชันที่เรียบง่าย หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเพิ่มความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องดนตรีระดับมืออาชีพมากขึ้น เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงง่วนอยู่กับเรื่องนี้ตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน
ซุนเย่าหั่วและเจียงขุยก็เริ่มหาเพลงคู่ชายหญิงมาฝึกซ้อมด้วยกัน อีกทั้งยังไปหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทเพื่อช่วยชี้แนะ ทั้งคู่เคยร่วมงานกับหลินเยวียน จึงรู้ว่าหลินเยวียนเข้มงวดกับมาตรฐานในการอัดเพลงมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองจึงเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็นับว่าลงเรือลำเดียวกันอย่างเป็นทางการแล้ว
อีกด้านหนึ่ง
กองถ่ายยังคงถ่ายทำเรื่องนักปรับเสียงเปียโนต่อไป ทว่ากระบวนการก็ดำเนินมาถึงช่วงท้ายจริงๆ แล้ว มีฉากที่ต้องถ่ายทำเหลืออยู่ไม่มาก หลินเยวียนจึงเลือกเวลาสองสามวัน เพื่อไปอยู่กับกองถ่ายยามที่เข้าสู่ช่วงเวลาปิดกล้อง
นี่เป็นข้อดีของการเป็นนักเขียนบท
มีเวลาที่ค่อนข้างอิสระ
ถ้าหากหลินเยวียนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างน้อยในสองสามเดือนนี้ หลินเยวียนจะไม่มีเวลาขยับตัว ไปทำเรื่องอื่นเลย จะต้องนำพาให้งานของกองถ่ายคืบหน้าทุกวัน แม้แต่เจียดเวลามาอัดเพลงก็อาจทำไม่ได้
“เริ่มได้”
การถ่ายทำวันสุดท้าย
หลินเยวียนสังเกตการณ์อยู่ในกอง
นี่เป็นฉากกลางคืน ภายใต้การชี้แนะของอี้เฉิงกง หลิ่วเจิ้งเหวินล้มลุกคลุกคลานหนีออกไป นี่เป็นฉากที่ตัวเอกหนีออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากถูกหญิงสาวฝ่ายตรงข้ามวางยาจนตาบอด
“ปัง”
หลิ่วเจิ้งเหวินชนเข้ากับเสาไฟฟ้า ก่อนที่ทั้งร่างจะล้มลง เพราะดวงตาใช้การไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากใช้วิธีให้มุมกล้องหลบแผ่นฝองน้ำซึ่งแปะไว้ที่เสาไฟฟ้า เมื่อมองมุมของกล้อง จะเห็นว่าหลิ่วเจิ้งเหวินชนเข้ากับเสาไฟฟ้าจริงๆ
หน้าผากของเขาเป็นสีแดงอ่อนๆ
นี่เป็นเทคนิคในการถ่ายทำเช่นเดียวกัน แผ่นฟองน้ำชุบด้วยสีชนิดพิเศษ ทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์ราวกับบาดเจ็บจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็วิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามของทางม้าลาย และเป็นเพราะดวงตาสูญเสียการมองเห็น รถยนต์หลายคันที่แล่นมาจึงรีบเหยียบเบรกทันที
เสียงแตรดังขึ้นติดต่อกัน
มีรถหลายคันถูกเขาขวางไว้
ท่าทางของหลิ่วเจิ้งเหวินนั้นเหมือนกับมองไม่เห็นจริงๆ กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่พื้น น้ำตาจากความตื่นตระหนกระคนกับเลือดสดจากบาดแผล ทำให้สภาพของเขาในตอนนั้นเอน็จอนาถเหลือเกิน หลินเยวียนรู้ว่าเป็นของปลอม ก็ยังรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“คัต”
หลังจากเสียงของอี้เฉิงกงดังขึ้น การถ่ายทำฉากนี้ก็จบลงในที่สุด และเมื่อเสียงของเขาจบลง เรื่องนักปรับเสียงเปียโนก็ปิดกล้องลงอย่างเป็นทางการ ทีมงานเข้ามาห้อมล้อมหลิ่วเจิ้งเหวิน แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ป้องกัน แต่การชนหลายครั้งเมื่อครู่นั้นเล่นจริงเจ็บจริง
“จบแล้ว”
หลินเยวียนผุดยิ้ม ขณะที่กำลังจะเดินไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนมา เสียงของอี้เฉิงกงฟังดูหัวเสีย “ไหนบอกว่าความชัดเจนใช้ได้ไง ทีมพร็อปอยู่ไหน มานี่เดี๋ยวนี้!”
หลินเยวียนนึกสงสัย
อี้เฉิงกงไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน น้อยครั้งนักที่เขาจะโมโหฉุนเฉียวในกองถ่าย ไม่รู้ว่าทำไม ถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จกลับหัวร้อนขึ้นมาได้ ดังนั้นหลินเยวียนจึงรีบสาวเท้าเข้าไป “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เรื่องเล็กน้อยครับ”
หลิ่วเจิ้งเหวินกล่าวกลั้วหัวเราะ
อี้เฉิงกงจ้องหลิ่วเจิ้งเหวินเขม็ง หันหน้าไปมองหลินเยวียน ไม่กล้าแยกเขี้ยวยิงฟันมากนัก “หลิ่วเจิ้งเหวินเสนอให้ทีมพร็อปทำคอนแท็กเลนส์ขึ้นมาเพื่อให้ฉากสมจริง เพียงแต่ใส่เข้าไปแล้วจะส่งผลต่อการมองเห็น แบบนี้จะทำให้แสดงออกมาได้ดีกว่า ปรากฏว่าพอถ่ายทำเสร็จ ผมก็เพิ่งรู้ว่าพร็อปใช้การไม่ได้ พอใส่เข้าไปแล้วมองไม่เห็น”
“มองเห็นนิดนึงนะครับ”
หลิ่วเจิ้งเหวินอธิบายอยู่ด้านข้าง
อี้เฉิงกงกล่าวอย่างหัวเสีย “ผมเพิ่งลองสวมไป มองเห็นบ้าอะไรล่ะ ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าอย่างน้อยต้องมองเห็นได้หกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ระดับนี้จะไม่ต่างอะไรกับคนที่สายตาสั้นมากๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน