ตอนที่ 287 หน้าใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในวงการภาพยนตร์
เข้าฉายได้สัปดาห์ที่สอง เรื่องนักปรับเสียงเปียโนก็โกยรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศไปกว่า 200 ล้านหยวน รวมกับรายได้ในสัปดาห์แรกกว่า 600 ล้านหยวน
‘หลิ่วเจิ้งเหวินกลับมาจากนิพพานแล้ว!’
‘หนังเรื่องใหม่ของหลิ่วเจิ้งเหวินฮิตมาก!’
‘ชื่นชมทักษะการแสดงรอบด้านของหลิ่วเจิ้งเหวิน!’
‘หนังเรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋เป็นกระแส หลิ่วเจิ้งเหวินกลับมาดังอีกครั้ง!’
‘ในบรรดานักแสดงที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังมากนักและกำลังถูกผู้คนลืมเลือน มีคนกำลังกระเสือกกระสนและมีคนเลือกที่จะถอย ในปัจจุบันนี้หลิ่วเจิ้งเหวินกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชมอีกครั้งเพราะหนังเรื่องนี้’
‘…’
นี่ก็คือข้อดีของการเคยมีชื่อเสียงมาบ้าง
หลิ่วเจิ้งเหวินเมื่อสิบปีก่อนเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในช่วงหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาประสบอุบัติเหตุในกองถ่ายในช่วงที่หน้าที่การงานกำลังไปได้สวย กว่าเขาจะกลับเข้ามาในวงการอีกครั้ง ก็ไม่สามารถไขว่คว้าตำแหน่งที่เคยเป็นของตนได้อีกต่อไป
ทว่าความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนซึ่งเขาหลงเหลือไว้ให้กับผู้คนยังคงอยู่
และภาพยนตร์เรื่องนักปรับเสียงเปียโนก็เหมือนเวทมนตร์ที่ปลุกภาพจำที่ทุกคนมีต่อหลิ่วเจิ้งเหวินให้ฟื้นคืนชีพ
เพราะฉะนั้น…
หลิ่วเจิ้งเหวินกลับมาดังแล้ว
ต้องเข้าใจว่าคำว่า ‘กลับมาดัง’ แลดูเหมือนจะง่ายดาย ในความจริงแล้วเบื้องหลังนั้นมาจากความพยายามและหยาดเหงื่อมหาศาล ดังนั้นเมื่อดอกไม้สดและสปอตไลท์กลับมาห้อมล้อมตนอีกครั้ง หลิ่วเจิ้งเหวินจึงรักและหวงแหนช่วงเวลานี้ยิ่งกว่าสิ่งใด
“ตอนนี้ฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงให้ความสำคัญกับตัวละครนี้มาก”
ตอนที่ผู้จัดการของหลิ่วเจิ้งเหวินกล่าวประโยคนี้ ในใจก็พลันเกิดความกลัวขึ้นมา
ถ้าในตอนนั้นหลิ่วเจิ้งเหวินไม่ได้รับบทนี้ เขาคงจะเสียใจมากอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นหลิ่วเจิ้งเหวินจะตอบรับการสัมภาษณ์และเอ่ยขอบคุณเซี่ยนอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ?
ใช่แล้ว
ระยะนี้หลิ่วเจิ้งเหวินตอบรับการสัมภาษณ์หลายครั้ง และในทุกๆ ครั้ง ประโยคที่หลิ่วเจิ้งเหวินพูดบ่อยครั้งที่สุดคือ
“ต้องขอบคุณอาจารย์เซี่ยนอวี๋ครับ”
ประโยคนี้ หลิ่วเจิ้งเหวินเอ่ยออกมาจากใจ
และเมื่อมีนักข่าวถามซักไซ้ ว่าในอนาคตหลิ่วเจิ้งเหวินจะร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋อีกหรือไม่ หลิ่วเจิ้งเหวินตอบอย่างหนักแน่นเช่นเดียวกัน
“ถ้าอาจารย์เซี่ยนอวี๋ต้องการ ผมก็พร้อมเสมอ”
นี่เป็นสัญญาณที่หลิ่วเจิ้งเหวินปล่อยสู่โลกภายนอก
โดยทั่วไปนักแสดงจะไม่ส่งสัญญาณเช่นนี้ เพราะนั่นจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาปัจจัยที่ซับซ้อน เช่นค่าตัวและตารางงาน
เพราะนั่นหมายความว่าหลิ่วเจิ้งเหวินติดฉลากไว้ที่ตนเองแล้วว่าเป็นของเซี่ยนอวี๋
ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีนักแสดงคนไหนกล้าวางตนเองไว้ในตำแหน่งที่ต่ำเช่นนี้ หากไม่รู้อนาคตที่แน่นอนหรอก
นอกจากนั้น
ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ อี้เฉิงกงก็ถูกสัมภาษณ์หลายครั้งหลายหนเช่นเดียวกัน
ทว่าคำตอบของอี้เฉิงกงหลังจากที่ให้สัมภาษณ์ กลับทำให้โลกภายนอกตกตะลึง
“หลายคนไม่รู้ว่าอันที่จริงไม่ว่าจะเป็นหนังตลกชวนหัวในครั้งก่อน หรือเรื่องนักปรับเสียงเปียโนในครั้งนี้ ผู้กำกับตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้ก็คืออาจารย์เซี่ยนอวี๋ ผมก็แค่ถ่ายทำไปตามที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋ชี้แนะ รวมไปถึงมุมกล้องด้วย ในบทเขียนไว้หมดแล้ว…”
ทุกคนล้วนรู้ว่าภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋ใช้ระบบนักเขียนบทเป็นหัวใจสำคัญ
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า เซี่ยนอวี๋จะเป็นหัวใจสำคัญมากถึงเพียงนี้!
“คุณรู้สึกหรือเปล่าคะว่าตัวเองไม่ได้แสดงฝีมือออกมา เคยคิดอยากใช้สถานะผู้กำกับของตนเป็นหัวใจสำคัญในการถ่ายทำภาพยนตร์บ้างไหมคะ”
“ไม่ว่าแกนหลักจะเป็นผู้เขียนบทหรือผู้กำกับ เป้าหมายหลักล้วนเป็นการนำเสนอภาพยนตร์ให้ดียิ่งขึ้น ในเมื่อทุกคนล้วนทำเพื่อให้หนังที่เราทำดียิ่งขึ้นไป ก็ต้องฟังสิ่งที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋บอก ผมไม่คิดว่าถ้าบทนี้ถูกถ่ายทอดออกมาตามความคิดของผม แล้วผลลัพธ์จะออกมาดีกว่า นอกจากนั้นเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่ามุมกล้องทำได้ดีกว่านี้ ผมก็จะไปคุยกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋เพื่อขอเปลี่ยน อาจารย์เซี่ยนอวี๋ที่จริงแล้วเป็นคนคุยง่าย ส่วนใหญ่ก็จะนำความคิดเห็นของทีมงานมาปรับใช้ด้วย”
……
คำพูดของอี้เฉิงกงในการสัมภาษณ์ สร้างความตกตะลึงให้กับใครหลายคน ไม่มีใครสงสัยว่าอี้เฉิงกงโกหก เพราะเรื่องแบบนี้ไปสัมภาษณ์ทีมงานกองถ่ายก็มีหลักฐานแล้ว โกหกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
นอกจากนี้ การโกหกเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวอี้เฉิงกง
“ดังนั้นเซี่ยนอวี๋ก็คือผู้กำกับ”
“อี้เฉิงกงเป็นแค่ผู้ช่วยงานดีๆ นี่เอง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน