Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 319

ตอนที่ 319 ปากง สุนัขยอดกตัญญู

อันที่จริงการลงมือเขียนนั้นง่ายกว่าการปรับแก้เสียอีก

จากความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียน ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็พิมพ์ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรสสำเร็จ

ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนตีพิมพ์ จึงไม่ได้ส่งต้นฉบับในทันที

ในหนังก็มีหลักการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

หลักการที่บอกว่าใครลงมือก่อนแพ้!

ในเมื่อเหลิ่งกวงเป็นผู้เสนอคำท้าประชันวรรณกรรม ย่อมต้องรอให้เหลิ่งกวงลงมือก่อน หลังจากนั้นหลินเยวียนจึงค่อยปล่อยฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส

นี่เรียกว่ากลยุทธ์ป้องกันและโต้กลับ

เป็นเพราะไม่ได้รีบร้อนอะไร จังหวะชีวิตของหลินเยวียนจึงเรียกได้ว่าไม่ช้าไม่เร็ว

เขายังหาเวลาว่างจากการเขียน มากินข้าวกับซุนเย่าหั่วสักมื้อ

สถานที่นัดหมาย ก็คือร้านอาหารใหม่ที่เพิ่งเปิดของซุนเย่าหั่ว

ที่แท้ กิจการร้านหม้อไฟของซุนเย่าหั่วก็เฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ จนซุนเย่าหั่วเริ่มก้าวเข้าสู่วงการอาหารประเภทอื่นๆ แล้ว

ตัวอย่างเช่นร้านที่เขาเชิญหลินเยวียนมาในวันนี้ ก็คือร้านอาหารฉีซึ่งซุนเย่าหั่วเพิ่งเปิดกิจการ

เมื่อก่อนหลินเยวียนเคยอยู่ที่มณฑลฉี จึงคุ้นเคยกับอาหารฉีเป็นอย่างดี

เพียงแต่หลังกลับมาบ้านเกิดก็ไม่ได้ลิ้มลองรสชาตินี้อีกเลย จะว่าไปก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน

ในวันนี้มาที่ร้านของซุนเย่าหั่ว หลินเยวียนมีความสุขมากที่ได้กินอาหารของมณฑลฉีอีกครั้ง

ร้านอาหารของรุ่นพี่ซุนเย่าหั่ว ดูเหมือนนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่โต๊ะเดียวกัน ยังมีอีกสามคน ได้แก่เจียงขุย เซวียเหลียง และเฟิงซั่ว

ดังนั้นอาหารมื้อนี้ ควรนับว่าเป็นเจียงขุยและซุนเย่าหั่วร่วมกันเลี้ยงข้าวหลินเยวียนและลูกศิษย์เสียมากกว่า

เพียงแต่ซุนเย่าหั่วเปิดร้านอาหารพอดี จึงเลือกที่นี่เป็นจุดนัดพบและทานอาหารก็เท่านั้น

จุดประสงค์น่ะหรือ แน่นอนว่าเพื่อขอบคุณลูกศิษย์ทั้งสองของหลินเยวียนที่ช่วยเขียนเพลงให้พวกเขา

ห้าคนร่วมรับประทานอาหาร นับว่าคึกคักมากทีเดียว

ทุกคนนับว่าอายุยังไม่มาก ต่างฝ่ายจึงไม่ได้รู้สึกห่างเหิน และเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว และสนทนากันได้อย่างสนุกสนาน

“ตอนนี้มีร้านอาหารฉีแล้ว ฉันวางแผนจะเปิดร้านอาหารฉู่ต่อ ตอนนี้ฉิน ฉี ฉู่ผนวกรวมกันแล้ว ทุกคนต่างก็สนใจในรสชาติอาหารของแต่ละท้องที่ ก็มีตลาดใช่ไหมล่ะ ต่อไปการแลกเปลี่ยนก็จะมีบ่อยขึ้น ฉันว่าร้านอาหารที่รสชาติแตกต่างกัน จะดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า”

ซุนเย่าหั่วคุยโม้เกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจอาหาร

หลินเยวียนไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาก้มหน้าก้มตาลิ้มลองอาหารที่ตนสนใจไม่หยุดหย่อน

ทันใดนั้นเอง หลินเยวียนก็สะบัดมือ

ขณะที่กำลังกินกุ้งมังกรตัวโต มือของเขาก็ไปถูกกรีกุ้งมังกรแทงเข้า จนเลือดไหลซึมออกมา

“เป็นอะไรไหม”

ซุนเย่าหั่ววิตกกังวลขึ้นมา หยัดกายลุกพรวดขึ้นทันที “ไปโรงพยาบาลไหม”

เซวียเหลียงและเฟิงซั่วอึ้งไป

ไม่ใช่เพราะหลินเยวียนบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะคำพูดของซุนเย่าหั่ว

แค่นี้ต้องไปโรงพยาบาลด้วยหรือ?

ไปให้หมอแปะพลาสเตอร์ยาให้หรือไง?

น่ากลัวว่าหมอคงพูดอย่างกระวนกระวายว่า ‘โชคดีนะครับเนี่ยที่พามาโรงพยาบาลได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นแผลคงไม่หายแน่’ ?

มีเพียงเจียงขุยที่ไม่ได้รู้สึกอะไร

ที่เป็นสไตล์ของซุนเย่าหั่ว

แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่ได้บอบบางถึงขั้นที่ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล หลังจากที่บอกไปแล้วว่าไม่จำเป็น ดูดนิ้วที่บาดเจ็บอีกครั้ง จากนั้นก็ลงมือจัดการกับกุ้งมังกรตัวสีแดงฉ่ำข้างหน้าต่อไป

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”…

ซุนเย่าหั่วผ่อนลมหายใจ เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “รุ่นน้องแข็งแกร่งสุดๆ!!”

ขะ…แข็งแกร่ง?

ครั้งนี้ไม่เพียงเซวียเหลียงและเฟิงซั่วที่อึ้งไป แม้แต่เจียงขุยก็ต้องยอมซูฮก

คือว่า

นิ้วเป็นแผลเล็กกระจิด ต้องใช้คำว่าแข็งแกร่งเชียว? ฉันว่านายก็ประจบเกินไป

……

นี่เป็นเพียงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของเขา

ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ หลินเยวียนก็เขียนเรื่องฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรสเสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อคิดว่าเหลิ่งกวงยังไม่ได้ลงมือ หลินเยวียนจึงไม่ได้รีบร้อนปล่อยผลงาน

ศัตรูไม่ลงมือ ฉันก็ไม่ลงมือ

ทีนี้ก็ต้องหาอะไรทำสักอย่างสินะ?

คงจะเป็นเพราะช่วงนี้หลินเยวียนมีเวลาว่างมากเหลือเกิน ถึงขั้นที่อยากหาภาระสักอย่างให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็นึกเรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ออก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน