Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 470

ตอนที่ 470 คำราม

จะคำทำนายก็ดี คำตำหนิก็ดี สุดท้ายแล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับการแข่งขันเป็นหลัก

วันต่อมา

หลินเยวียนนั่งอยู่ในรถของกู้ตง ตรงไปยังศูนย์ดนตรีกลางเพื่อบันทึกเทปรายการราชาหน้ากากนักร้องในสัปดาห์ที่สาม

ขณะขับรถ

กู้ตงกำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บางคนทำเกินไปแล้ว ไม่คุ้มกับที่ตัวแทนจะต้องมาโมโหคนเหล่านี้หรอกค่ะ”

หลินเยวียน “…”

เห็นชัดๆ ว่าคนที่โมโหคือกู้ตง

หลินเยวียนไม่ได้อนาทรร้อนใจเลย

ประเด็นถกเถียงบนโลกออนไลน์หลินเยวียนเองก็ได้อ่าน เขายังคงกดไลก์โดยใช้รูปแบบผู้เยือนเว็บไซต์ มีบางคอมเมนต์เป็นกลางมากทีเดียว

ใช่แล้ว

ทักษะการร้องเพลงของตนถ้าไม่ได้พัฒนาขึ้น จะอยู่ในการแข่งขันได้ไม่นาน ไม่ว่าไพ่เด็ดของเขามีมากแค่ไหน ก็ไม่อาจกลบจุดด้อยด้านทักษะการร้องเพลงได้

แต่บางความเห็นก็ไม่ถูกต้อง!

ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่เหลิ่งเฉวียนพูดในไลฟ์สด หลินเยวียนไม่เชื่อในความเป็นมืออาชีพของอีกฝ่าย ในสัปดาห์ที่สามไม่มีอะไรฟังขึ้นเลยสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเสแสร้งด้วย

หลินเยวียนไม่ได้เก่งปานนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่มีกล่องสมบัติทองคำซึ่งยกระดับความสามารถในการร้องเพลง หลินเยวียนก็สามารถรับมือกับการแข่งขันในสัปดาห์ที่สามได้โดยไม่ตกรอบ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพลงที่ยอดเยี่ยมทุกเพลงจะต้องใช้ทักษะในการร้องเพลงที่สูงสักหน่อย ความสามารถในการร้องเพลงระดับนักร้องแถวสองก็เพียงพอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น…

และบางครั้งในการร้องเพลง อันที่จริงความรู้สึกก็สำคัญกว่าความสามารถในการร้องเพลง ถ้าหากมีเพียงทักษะในการร้องเพลง แล้วจะต่างอะไรกับเครื่องจักรกลสำหรับร้องเพลงล่ะ?

สรุปว่าหลินเยวียนตัดสินใจแล้ว!

ในสัปดาห์นี้ ต้องเปลี่ยนภาพจำที่คนบางกลุ่มมีต่อตนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างสิ้นเชิง!

เมื่อคิดเช่นนี้

รถมาถึงสถานที่ถ่ายรายการ

เมื่อหลินเยวียนลงจากรถโดยสวมหน้ากาก ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นจากรอบตัวเขา เสียงดังกว่าเมื่อสัปดาห์แรก แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยง!

“หลานหลิงอ๋อง!”

“หลานหลิงอ๋องสู้ๆ!”

“หลานหลิงอ๋องฉันเชียร์คุณเสมอนะ วันนี้ก็จะเชียร์คุณ!”

“หลานหลินอ๋องคุณเก่งมาก!”

“ฉันรักคุณ หลานหลิงอ๋อง!”

“อย่าไปฟังที่คนพูดในอินเทอร์เน็ตนะ คุณร้องเพลงให้ดีก็พอแล้ว เพลงเด็กชายดีมาก ผมช่วยดาวน์โหลดแล้ว!”

“หลานหลิงอ๋อง ฉันช่วยคุณสู้กับคนในเน็ตทั้งคืน!”

“ผมมาจากเมืองหยางเพื่อเชียร์คุณเลยนะ!”

“…”

ฝีเท้าของหลินเยวียนชะงักไปเล็กน้อย

เขามองไปยังใบหน้าซึ่งล้อมอยู่ด้านนอก จู่ๆ ก็พลันเกิดความรู้สึกประหลาดซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเคยอ่านคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตมา หลินเยวียนคงนึกสงสัยว่าเขาได้รับการสนับสนุนมากมายเช่นนี้ก็เพราะเขาคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันเวทีก่อน

‘เหมือนว่าฉันจะมองข้ามอะไรบางอย่าง’

ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในสมองของหลินเยวียนทันใด

เมื่อคืน

ขณะที่อ่านคอมเมนต์บนอินเทอร์เน็ต เห็นชัดๆ ว่าเขาไม่ได้โกรธ ถึงขั้นที่กดไลก์อย่างสบายใจเฉิบด้วยซ้ำไป…

อ่อนโยนมาก!

มีเหตุผลมาก!

เยือกเย็นมาก!

แต่ในขณะนี้ เมื่อได้ยินเสียงเชียร์ จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกว่าเศษเสี้ยวความรู้สึกชิ้นเล็กๆ ในอกของเขากำลังหลอมรวมและเพิ่มขึ้น

อธิบายไม่ถูก บรรยายไม่ได้

คำพูดมากมายติดอยู่ในอก

มองดูใบหน้าโดยรอบซึ่งเยือกเย็น หรือกระตือรือร้น หรือเรียบเฉย หรือยิ้มแย้ม ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตนมองข้ามอะไรไป

จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้…

เมื่อคืน ท่ามกลางหลายคนที่ติเตียนเขา อันที่จริงยังมีเสียงอันแผ่วเบาอีกส่วนหนึ่งซึ่งพยายามดิ้นรนต่อสู้

จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้

เมื่อคืน หลังจากไลฟ์สดของเหลิ่งเฉวียนจบลง มีคนคอมเมนต์ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นของเพลงเด็กชายว่า

‘ถ้าคุณยังร้องต่อ ฉันก็จะฟังต่อ…ไม่ว่าคุณจะร้องอยู่ที่ไหน’

จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้…

เมื่อคืน ในกระทู้เกี่ยวกับดนตรี มีคนรีโพสต์และแชร์เพลงเด็กชาย ราวกับพยายามอย่างหนักเพื่อบอกให้ผู้คนรับรู้มากขึ้นว่าเพลงนี้ควรค่าแก่การฟังซ้ำ

แม้ว่าความพยายามดังกล่าวจะค่อนข้างไร้ประโยชน์ ถึงขั้นน่าขันด้วยซ้ำไป

ผู้โพสต์ยังคงโต้เถียงอย่างดื้อรั้น

ในเวลานั้นหลินเยวียนรู้สึกเพียงว่าเขาสบายใจเหลือเกิน ที่ยังมีคนรับรู้ได้ถึงความจริงใจของเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่นั่นคือทั้งหมดที่มี

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาลองคิดดูในตอนนี้ การสนับสนุนอันอ่อนแรงนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ที่แท้เรื่องที่ตนไม่ได้ใส่ใจ ก็มีคนที่ใส่ใจมากขนาดนี้…

ที่แท้เรื่องที่ตนไม่ได้โกรธ ก็มีคนโกรธแทน…

ที่แท้สำหรับบางคนแล้ว ฉันสำคัญถึงขนาดนี้เชียว…

“อาจารย์หลานหลิงอ๋อง”

ถงถงเข้ามาต้อนรับ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ”

หลินเยวียนไม่พูด เพียงแต่หันหลังกลับไปโค้งให้กลุ่มคนรอบนอกเหล่านั้น

การร้องเพลงคืออะไร

คือฉันอยากร้องเพลง เลยร้องออกมา?

แต่เมื่อสักคนหนึ่งหรือสักกลุ่มหนึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้ ฉันยังคงสู้โดยลำพังอยู่อีกหรือ?

ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะส่องแสงเจิดจ้ากว่าเดิม

แผ่นหลังของเขา ค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน

……

หลินเยวียนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่พูดจา

ถงถงมองหลานหลิงอ๋อง ในแววตาระคนความวิตกกังวล

เธอสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคล้ายว่าจะเงียบขรึมกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เธอก็แอบรู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายราวกับเป็นเปลวไฟซึ่งกำลังค่อยๆ ลุกไหม้

ย้อนแย้งกันเหลือเกิน

เธอกัดริมฝีปาก

ไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไรดี

เห็นทีหลานหลิงอ๋องคงได้รับผลกระทบจากข้อความบนอินเทอร์เน็ต

ฝึกซ้อม…

รอคอย…

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลานหลิงอ๋องไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว เงียบจนน่ากลัว

หลังจากนั้นเป็นการจับสลาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน