ตอนที่ 475 ปวดตับ
จ้าวอิ๋งเก้อสติแตก…
ผู้จัดการกำลังขับรถ ส่วนเธอนั่งอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“คุณตั้งสติก่อน”
ผู้จัดการหยุดรถที่ไฟแดง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
จ้าวอิ๋งเก้อแลดูราวกับถูกดูดพลัง เสียงของเธอแหบแห้งและไร้เรี่ยวแรง
“อาจารย์เซี่ยนอวี๋บอกว่าฉันทำได้แค่เสียงสูงกับระเบิดพลัง…”
“แฟนคลับฉันก็ไปด่าเขา…”
“เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดว่าฉันโดดเด่นอยู่แล้ว…”
“ตอนนี้แฟนคลับฉันไปรุมเขาอีก…”
“…”
ผู้จัดการหัวจะปวด
จ้าวอิ๋งเก้อท่องวนสามสี่ประโยคนี้ไปตลอดทาง
เธอเอ่ยอย่างจนใจ “พวกเราก็ทำได้แค่คาดเดา หลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋ใช่ไหมเป็นเรื่องที่ยังยืนยันไม่ได้ กู้ตงมาที่นี่หมายความว่าหลานหลิงอ๋องคือเซี่ยนอวี๋งั้นหรือ?”
“ความเป็นไปได้สูงมาก…”
“ดี คิดว่าเขาเป็นเซี่ยนอวี๋ก็ดีแล้ว งั้นคุณไม่คิดว่านี่คือโอกาสเหรอ?”
“ตอนแรกก็ใช่”
“ตอนนี้ก็ยังใช่! คุณเองก็พูดไม่ใช่หรือ เริ่มแรกพระเอกไม่ชอบใจนางเอก เพราะความเข้าใจผิดบางอย่าง แต่หลังจากนั้น…”
“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องความเข้าใจผิด”
“ใครไม่เคยอ่านนิยายรักบ้าง…คุณลองคิดดู ตัวเองมีความเป็นนางเอกไหม?”
“ก็ได้อยู่นะ?”
จ้าวอิ๋งเก้อซึ่งหมดอาลัยตายอยาก ค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ผู้จัดการถือโอกาสตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน “ตอนนี้โอกาสมาวางอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครรู้ มีแค่คุณที่รู้ ควรทำยังไงคงไม่ต้องให้ฉันเตือนใช่ไหมคะ”
“เตือนหน่อยก็ได้!”
จ้าวอิ๋งเก้อชี้ไปยังสมองของตน “ตอนนี้เจ้านี่ไม่ฟังคำสั่ง”
“…”
ผู้จัดการถอนหายใจ เริ่มเหยียบคันเร่งเมื่อไฟเขียวติด
“ก่อนอื่นคุณต้องแสร้งว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้ อย่างน้อยก่อนที่เซี่ยนอวี๋จะถอดหน้ากาก คุณจะโป๊ะแตกไม่ได้ หลังจากนั้นก็ทำดีกับเขาอย่างแนบเนียน อย่างแนบเนียนคุณเข้าใจใช่ไหมคะ”
“พอเข้าใจ”
“หลังจากนั้นคุณต้องทำให้แฟนคลับตั้งสติ อย่าไปรุงรังกับหลานหลิงอ๋องตลอดเวลา ทางแฟนคลับเดี๋ยวฉันไปจัดการเอง”
“อันนี้ฉันรู้!”
“เรื่องสุดท้ายคือประเด็นสำคัญที่สุด เซี่ยนอวี๋ให้ความสำคัญกับความสามารถของนักร้อง คุณร้องเพลงให้ดี แสดงฝีมือของตัวเองออกมาให้ดีก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ใช่เซี่ยนอวี๋ อย่างน้อยเราก็ไปล่วงเกินคนเขาไม่ได้”
“แค่นี้เอง?”
“แล้วทำแบบไหนได้อีกล่ะคะ”
“งั้นจะไปต่างอะไรกับการที่ไม่รู้เลย?”
“ต่างกันตรงที่…คุณจะทำเหมือนหยวนซีไม่ได้ เหม็นหน้าหลานหลิงอ๋องแล้วถึงขั้นออกตัวท้าทาย”
“อ้อ!”
จ้าวอิ๋งเก้อกระจ่างในทันใด
ถ้าไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลานหลิงอ๋อง ไม่แน่เธออาจจะพลาดพลั้งไปล่วงเกินอีกฝ่ายได้ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่นับว่าเป็นคนใจเย็นเท่าไหร่นัก
ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูไปล่วงเกินอีกฝ่ายเข้า และสิ่งที่คาดเดานั้นถูกต้อง นั่นก็เท่ากับโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติขึ้นจริงๆ
ผู้จัดการเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่ปากจัดแบบหลานหลิงอ๋อง ก่อนจะถอดหน้ากากอาจไปล่วงเกินอีกหลายคน คุณปกป้องตัวเองให้ดีจะยิ่งเน้นย้ำความสูงส่งของคุณ พอถอดหน้ากากแล้ว ก็ถึงคราวที่คุณได้พบจุดเปลี่ยนแล้ว”
พบจุดเปลี่ยน?
ใบหน้าของจ้าวอิ๋งเก้อแดงก่ำ
ผู้จัดการเห็นภาพนี้ผ่านกระจกมองหลัง เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
จู่ๆ คุณก็หน้าแดงขึ้นมา จินตนาการไปถึงไหนแล้วเนี่ย
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องขับรถ[1]นะ!”
“คุณก็ขับรถอยู่ไม่ใช่หรือไง…”
“ถ้ายังโวยวายอีกก็ลงจากรถเลยค่ะ!”
“ก็ได้!”
บทสนทนาไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ โชคดีที่ทั้งสองมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป
……
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่รู้ว่าตนถูกคนสงสัยซะแล้ว
หลังจากบันทึกเทปรายการตอนที่สาม เขาให้กู้ตงไปส่งยังกองถ่ายภาพยนตร์ทันที
ทางนี้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่
เมื่อถึงกองถ่าย และเอ่ยทักทายกับทีมงาน หลินเยวียนจึงนั่งลงและเฝ้าสังเกตการณ์
ขณะนั้นเจี่ยนอี้กำลังห้อยตัวจากสลิงลงมาท่ามกลางกรีนสกรีน
ความสูงขนาดนี้พานให้หลินเยวียนรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
“ฮู้ว”
ฉากห้อยตัวจบลง เจี่ยนอี้มานั่งลงข้างหลินเยวียน กระดกดื่มน้ำดังอึกๆๆ
“โคตรน่ากลัว”
“ก่อนหน้านี้นายกลัวความสูงใช่ไหม?”
“ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่พอขึ้นสลิงบ่อยครั้งเข้าก็โอเคแล้ว” เจี่ยนอี้เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
หลินเยวียนพยักหน้า
นักแสดงมักทุ่มเทเพิ่มความยากในการถ่ายทำ
“มือนายเจ็บ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน