ตกเย็น
กลุ่มบันเทิงใหญ่หมู่บ้านหย่งหนิง
จู่ๆ พี่สาวก็ส่งต่อข่าวหนึ่งซึ่งพาดหัวว่า ‘ จะเล่าให้คุณฟังจากระดับข้อมูล ว่าทำไมปีนี้ฉู่ขวงจึงถูกลิขิตชะตามาให้พลาดการคัดเลือกเทพสูงสุด’
หลังจากนั้นพี่สาวจึงเมนชันถึงหลินเยวียน ‘ปีนี้ฉู่ขวงคิดจะชิงตำแหน่งเทพสูงสุดหรือ?’
หลินเยวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังพี่สาวซึ่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา
ทำไมต้องถามในกลุ่มด้วย
ในกลุ่มแช็ต
เจี่ยนอี้โผล่เข้ามาอย่างเล่นใหญ่
‘คนเราดังเกินไปก็ไม่ดี ช่วงนี้งานฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างอ่านนิยาย เจ้าแก่ฉู่ขวงเริ่มเตรียมตัวชิงตำแหน่งเทพสูงสุดแล้วเหรอ ตอนนี้เขามีนิยายแฟนตาซีแค่สามเรื่องไม่ใช่หรือไง?’
ซย่าฝานไม่สนใจคำโอ้อวดของเจี่ยนอี้ เอ่ยว่า ‘แต่ฉู่ขวงมีนิยายสามเรื่องก็กลายเป็นมหาเทพได้เชียวนะ’
เจี่ยนอี้และซย่าฝานต่างก็ชอบอ่านนิยาย ดังนั้นสองคนนี้จึงคุ้นเคยกับฉู่ขวงเป็นอย่างดี
หลินเหยาไม่อ่านนิยาย ถึงแม้จะรู้จักบุคคลซึ่งมีนามว่าฉู่ขวงคนนี้จากพี่สาว แต่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงรายละเอียด จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
‘ผลงานสามเรื่องก็ได้เป็นมหาเทพต้องเก่งมากใช่ไหมคะ?’
พี่สาวเสริมเกร็ดความรู้ ‘พี่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับทางจงโจว แล้วก็หานโจว จ้าวโจว เว่ยโจวนะ แต่ในฉินฉีฉู่เขี่ยน มีนักเขียนวรรณกรรมแฟนตาซีแค่สี่คนที่มีผลงานสามเรื่องก็ได้ตำแหน่งมหาเทพ!’
หลินเหยา ‘งั้นก็ไม่น้อยเลย’
พี่สาว ‘ไม่น้อยก็จริง แต่ถ้าเทียบน้ำหนักแล้ว ฉู่ขวงเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนิยายทั้งสามเรื่องของฉู่ขวงมีจำนวนตัวอักษรน้อยมาก อีกสามท่านถึงแม้จะมีผลงานแค่สามเรื่อง แต่จำนวนตัวอักษรรวมกันแล้วยาวมาก ลำพังหนังสือเรื่องเดียวก็เกินสามล้านตัวอักษรแล้ว’
นี่คือจุดที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าฉู่ขวงมหัศจรรย์
นักเขียนคนอื่นปล่อยหนังสือสักเรื่องหนึ่งออกมาแล้วโด่งดัง ย่อมพยายามเขียนออกมาให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ทว่านิยายแฟนตาซีของฉู่ขวง ความยาวประมาณหนึ่งล้านตัวอักษรเศษ คนขุดสุสานซึ่งยาวที่สุด มีเพียงประมาณสองล้านตัวอักษร
หลินเหยาแลดูสนใจฉู่ขวงมาก จึงถามต่อ
‘งั้นสี่เรื่องแล้วได้เป็นเทพสูงสุดคือฝีมือระดับไหน’
พี่สาวตอบอย่างไม่ลังเล ‘ฝีมือระดับอันดับหนึ่งของวงการวรรณกรรมแฟนตาซีในฉินฉีฉู่เยี่ยน ไม่เคยมีใครเคยคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดได้ด้วยนิยายสี่เรื่อง เพราะงั้นพี่ก็คิดเหมือนกันว่าฉู่ขวงต้องมีนิยายสักห้าเรื่องถึงจะพอ!’
นี่คือเหตุผลที่ในวงการยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวฉู่ขวงนัก
สามเรื่องได้ก้าวขึ้นเป็นมหาเทพนับว่าฝีมือร้ายกาจมากแล้ว
สี่เรื่องจะขึ้นเป็นเทพสูงสุดอีกหรือ?
ยากเกินไป
อย่างน้อยต้องสักห้าเรื่องล่ะมั้ง?
คุณต้องมีกันชนให้ตัวเองบ้าง
เรื่องนี้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนมองฉู่ขวงในแง่ดี
เพราะฉะนั้นจึงมีคนกล่าวว่า ถ้าหากฉู่ขวงคิดจะคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดด้วยหนังสือเรื่องใหม่ หนังสือเรื่องนี้ต้องเทียบได้กับหนังสือสองเรื่อง
หลินเยวียนไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาในกลุ่มแช็ต
ทว่าหลินเยวียนเห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้
เขายังคงห่างไกลจากการเป็นเทพสูงสุด
โดยหลักการทั่วไปแล้ว เขาจำเป็นต้องมีนิยายแฟนตาซีอีกสองเรื่องจึงจะก้าวขึ้นบัลลังก์เทพสูงสุดได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม…
ถ้าหากเป็น ‘บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ’ ละก็ คงไม่อาจนำหลักการทั่วไปมาตัดสินได้
อย่าว่าแต่เทียบเท่านิยายสองเรื่องเลย
ถ้าเปรียบเทียบมาตรฐานของตัวละครซึ่งเป็นลิง ต่อให้นำนิยายทั้งสามเรื่องก่อนหน้านี้ของเขามารวมกันก็ไม่เพียงพอ!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ว่าเมื่อเทียบกับนิยายแฟนตาซีสามเรื่องแรกของตน บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศไม่เพียงมีการบรรยายเรื่องราวอันยอดเยี่ยม แต่ยังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางวรรณกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่คือผลงานชิ้นเอกแห่งยุคสมัย!
ในช่วงเวลาที่นิยายแฟนตาซีมักเน้นการบรรยายเรื่องราว ทันใดนั้นก็มีผลงานซึ่งผสมผสานเรื่องราวและคุณค่าทางวรรณกรรมได้อย่างกลมล่อมถือกำเนิดขึ้น เราคงคาดการณ์อิทธิพลของผลงานชิ้นนี้ได้ไม่ยาก!
ถึงกระนั้น ก่อนที่จะเขียนนิยายออกมา คำพูดเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์
วันเวลาหนังจากนั้น หลินเยวียนใช้เวลาไปกับการเขียนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
จนกระทั่งถึงกลางเดือนตุลาคม
ในที่สุดหลินเยวียนก็เขียนงานประพันธ์ชิ้นเอกนี้สำเร็จ!
เขาส่งผลงานทั้งสองเวอร์ชันให้จินมู่ในทันที
จินมู่เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เดี๋ยวผมจะแยกส่งให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกับทางสมาคมวรรณศิลป์”
หลินเยวียนตะลึง “สมาคมวรรณศิลป์?”
จินมู่พยักหน้า “ผลงานที่เข้าชิงรางวัลจะต้องรายงานต่อสมาคมวรรณศิลป์ครับ เพราะทางนั้นต้องใช้เวลาคัดเลือก”
“ครับ”
หลินเยวียนไม่มีความเห็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน