Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 769

สรุปบท ตอนที่ 769 ความหวาดกลัวถั่งโถม: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 769 ความหวาดกลัวถั่งโถม – Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

บท ตอนที่ 769 ความหวาดกลัวถั่งโถม ของ Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ในหมวดนิยายการเงิน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 769 ความหวาดกลัวถั่งโถม

……….

เหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วทั้งแผ่นหลังของอันซวี่!

พายโกหกหรือ?

ทำไมเขาถึงพูดโกหก

ถ้าพายโกหก เขาโกหกในส่วนไหนของเรื่องล่ะ?

ในเรื่องนี้ ส่วนไหนจริง ส่วนไหนเท็จกันแน่?

การผจญภัยครั้งนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?

หรือควรจะพูดว่า…

ตนเข้าใจผิดไป?

อันซวี่ตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็น ความเข้าใจของคนและการตีความก่อนของตนก่อนหน้านี้นั้นผิวเผินเกินไป!

อย่างไรก็ดี

ไม่ว่าอันซวี่จะเค้นสมองอย่างไร เขาก็นึกไม่ออกว่าทำไมพายถึงโกหก เขาเพียงแค่รู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามีความจริงอันน่าสะพรึงกลัวอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด!

นั่นทำให้อันซวี่รู้สึกอึดอัด!

“เป็นอะไรไป”

เจี่ยงจู๋สังเกตเห็นว่าอันซวี่มีท่าทางแปลกไป ตอนนี้ผู้กำกับชื่อดังชาวฉีโจวคนนี้แลดูกระวนกระวาย

อันซวี่ยังคงไม่ตอบ

เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอขนาดยักษ์

เขาอยากรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่!

เซี่ยนอวี๋กำลังบอกอะไรกันแน่ในเรื่องราวเรื่อง!

เขาไม่รู้ตัวเลยว่า มือของเขากำลังสั่นเล็กน้อย

……

บนหน้าจอขนาดยักษ์

หลังจากออกจากเกาะแล้ว ในที่สุดพายก็มาถึงฝั่ง

ครั้งนี้ไม่ใช่เกาะ!

ที่นี่คือจ้าวโจวของบลูสตาร์!

เขารอดแล้ว!

เมื่อเท้าเหยียบขึ้นฝั่ง ความเหนื่อยล้าทำให้ร่างกายของเขาล้มลง

ท่ามกลางความมึนงง

เขาเห็นเสือกระโดดลงจากเรือชูชีพ เยียดกายอย่างเต็มที่ ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าป่า

เมื่อมาถึงชายป่า เสือก็หยุดฝีเท้าลง

“ผมมั่นใจว่ามันจะมองกลับมาที่ผม หูของมันลู่ไปด้านหลัง ส่งเสียงคำราม เหมือนยุติความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราในรูปแบบหนึ่ง”

แม้พายจะพูดเช่นนี้ แต่เสือกลับไม่หันมามอง

สหายผู้ดุร้าย สัตว์ซึ่งทำให้พายมีชีวิตอยู่ต่อ ได้หายไปจากชีวิตของเขานับแต่นั้นมา

เขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนที่ผ่านมา

เมื่อจากมา เขาน้ำตารินไหล

ไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะเสือจากเขาไปแล้ว จากเขาไปอย่างง่ายดาย

เสือไม่มีความรู้สึก

พายจำคำสอนของพ่อในวัยเด็กได้ แต่เขาบอกว่าตนเองต้องเชื่อ

ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียง เงาสะท้อนในสายตาของเสือ

“ไม่ได้ร่ำลากันด้วยซ้ำไป”

เขาไม่ได้ร่ำลาแฟนสาว ไม่ได้ร่ำลาครอบครัว ไม่ได้ร่ำลาเสือ เหมือนกับว่าเขาจะเอื้อนเอ่ยคำพูดที่คล้ายคลึงกันหลายครั้ง ทว่าครั้งนี้เขากลับหลั่งน้ำตา

……

ผู้ชมเงียบ

เมื่อพายได้รับความช่วยเหลือ ไม่มีใครส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ แต่พวกเขาจมอยู่กับความเจ็บปวดกับการจากไปของเสือเช่นเดียวกับพาย

ใช่แล้ว

ความเจ็บปวดย่อมมีอยู่แล้ว เพราะพวกเขาอยู่ร่วมกันมามากกว่าสองร้อยวัน พึ่งพากันและกันเพื่อเอาชีวิตรอด ดิ้นรนไปด้วยกัน เปลี่ยนจากศัตรูกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทาง

ไม่มีใครเกลียดเสือตัวนี้

ทุกคนชอบเสือตัวนี้ด้วยซ้ำไป

“ถ้าเสืออยู่เป็นเพื่อนพายต่อไปได้คงจะดี”

“พายสูญเสียทุกอย่างยกเว้นเสือ แต่เสือเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า เสือจึงทิ้งเขาไป”

“ฉันคิดว่าเสือมีความรู้สึกต่อพาย”

“หลังจากอยู่ด้วยกันสองร้อยกว่าวัน บางทีเสืออาจมองว่าพายเป็นเจ้านานหรือไม่ก็เป็นเพื่อนแล้วก็ได้”

“เรื่องนี่ยอดเยี่ยมกว่าที่คิดไว้ซะอีก”

“ครึ่งชั่วโมงแรกน่าเบื่อมาก การปูเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวไม่มีความหมายอย่างที่คิดไว้จริงๆ ”

“ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องจังหวะ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาสองชั่วโมง แต่กว่าจะเริ่มตื่นเต้นก็หนึ่งชั่วโมงผ่านไป”

“ฉันรู้สีกว่าหนังเรื่องนี้มีแง่คิด”

“ผมคิดว่านี่เป็นหนังเชิงพาณิชย์ หลังจากดูแล้วกลับรู้สึกว่ามีกลิ่นอายของหนังเชิงศิลปะ”

“…”

ประสาทสัมผัสของผู้ชมนั้นไม่ว่องไวเท่ามืออาชีพ แต่พวกเขาก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ มิหนำซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยประเด็นให้ขบคิด

ทั้งมนุษย์และธรรมชาติ

ทั้งความอยู่รอดและเพียรพยายาม

ทั้งพลังแห่งความศรัทธา

ทั้งความสำคัญของมิตรภาพ

การเปรียบเปรยและความหมายแฝงที่คล้ายคลึงกันมากมาย นี่คือคุณสมบัติทั่วไปของภาพยนตร์เชิงศิลปะ ทว่ากระบวนการนี้ไม่น่าเบื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์เรืออับปางเริ่มต้นขึ้น ก็แทบดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง นี่คือหนึ่งในแง่มุมหายากซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนกับภาพยนตร์เชิงพาณิชย์

หัวคิ้วของอันซวี่ขมวดยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ใช่!”

เขายังคงส่ายหน้า

ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!

เขาไม่เชื่อว่าจะง่ายขนาดนั้น!

เจี่ยงจู๋ไม่รู้ว่าอันซวี่กำลังคิดอะไรอยู่ เธอกำลังแสดงความคิดเห็นของตนเอง “ในช่วงแรกน่าเบื่อ หลังจากเรืออับปางก็ตื่นเต้นขึ้นมา แต่ตอนจบดูเหมือนจะขาดพลังไปสักหน่อย รู้สึกเหมือนขาดความน่าสนใจไป…”

ถ้าเจี่ยงจู๋ให้คะแนน เธอจะให้แปดคะแนน

นี่คือภาพยนตร์ที่ควรได้รับแปดคะแนน มันดีทีเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่นับว่าเป็นฉากจบอย่างเป็นทางการ

ภาพยนตร์ยังไม่จบ

……

บนหน้าจอยักษ์

ดูเหมือนว่าภาพยนตร์เริ่มขมวดปมจบแล้ว

“เนื่องจากผมเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว บริษัทขนส่งทางเรือจึงส่งคนสองคนมาตามหาผม พวกเขาต้องการตรวจสอบสาเหตุที่เรืออัปปางและจัดการกับการเรียกร้องสินไหมทดแทน…”

พายบอกกับนักเขียน

ภาพตัดไปหลังจากนั้น

เจ้าหน้าที่จากบริษัทขนส่งทางเรือไม่เชื่อเรื่องราวของเขา

จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีเกาะซึ่งเต็มไปด้วยเมียร์แคตนับหมื่นนับพันตัวแต่กลับไม่ถูกค้นพบ

กล้วยจะไปลอยน้ำได้อย่างไร

ทั้งสองฝ่ายมีปากเสียงกันสักพัก

พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่ความจริง!

ในที่สุด

พายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“พวกคุณไม่ต้องการสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ต้องการความประหลาดใจ ไม่ต้องการจินตนาการ ไม่ต้องการสัตว์และเกาะ…”

สีหน้าของพายเปลี่ยนไป

เจี่ยงจู๋รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย

โครม!

หลังจากความเงียบสงบขั้นสูงสุด ทั่วทั้งโรงฉายต่างแตกตื่นขึ้นมาทันที!

ผู้ชมเริ่มส่งเสียงร้องราวกับคลุ้มคลั่ง บสงคนถึงกับกรีดร้อง บา งคนลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว!

“แม่เจ้าโว้ย!!”

“ขนลุกไปทั้งตัว!”

“น่ากลัวมาก น่ากลัวสุดๆ !”

“กลายเป็นว่าในการผจญภัยในจินตนาการไม่มีม้าลาย ไม่มีลิงอุรังอุตัง ไม่มีไฮยีนา และไม่มีเสือ ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ตัวเอกสร้างขึ้น ที่จริงแล้วสัตว์เหล่านี้ก็คือคน พวกเขาฆ่ากันเอง พวกเขากินคนด้วยกันเอง!!!!”

“ให้ตายเถอะ ที่แท้บนเรือก็ไม่มีสัตว์ มีแต่คน!?”

“กินศพ!? จะอ้วก ไอ้บ้าเอ๊ย!”

“ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!”

“ฉันคิดจริงๆ นะว่าเป็นเรื่องราวระหว่างตัวเอกกับสัตว์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่สัตว์ที่กำลังเล่นเกมผู้อ่อนแอคือเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่กลับเป็นคนที่กินคนเมื่อสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้!”

“ฉันเข้าใจแล้ว! แม่ง! ฟันบนเกาะกินคนที่ไหนกันล่ะ นั่นมันฟันจากศพชัดๆ !”

“ความเป็นคนดับสูญไปแล้ว เรื่องราวที่สวยงาม มหาสมุทรที่น่าทึ่ง ทำไมความจริงถึงโหดร้ายแบบนี้!”

“ผมถูกเซี่ยนอวี๋หลอกแล้ว!”

“พล็อตเรื่องด้านหน้ามีแต่หลุมพราง ขุดหลุมพลางไว้เยอะมาก!”

“ผมยอมแล้ว เซี่ยนอวี๋สุดยอด ผมยอมแพ้ ยอมแพ้แล้วจริงๆ !”

“มุมมองทั้งสามของผมถูกทำลายไปแล้ว!”

“…”

ผู้ชมต่างตกใจจนอึ้งไป ความหวาดกลัวกำลังถั่งโถม!

ภาพยนตร์ไม่ได้กล่าวถึงว่าพวกเขากำลังกินศพ แต่จากการอุปมา ของสัตว์ แม้แต่ผู้ชมที่โง่เขลาเบาปัญญาก็ยังเข้าใจ!

นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงหน้าซีดและตัวสั่น!

การพลิกผันอันน่าตกตะลึง ทำลายมุมมองทั้งสามของผู้คนไปแล้วสิ้น และทำให้พวกเขาเคลือบแคลงทุกฉากที่พวกเขาได้รับชมมาก่อนหน้า!

ขณะนี้

เมื่อมองย้อนกลับไป ทุกส่วนของเรื่องล้วนเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว!

ถึงขั้นที่…

แม้แต่หนูตัวเล็กๆ ซึ่งไม่ได้สร้างภาพจำใดและแทบถูกทุกคนมองข้าม ก็ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง!

“คืนนี้ฉันน่าจะนอนไม่หลับ!”

เจี่ยงจู๋อดทนกับความรู้สึกไม่สบาย เสียงของเธอสั่นเครือ

เซี่ยนอวี๋บ้าไปแล้ว เขาคิดเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้ออกมาได้ยังไง เห็นชัดๆ ว่าฉันเขียนบทมาตั้งหลายปี ดูหนังมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกลัวหนังเชิงศิลปะ!”

กลัวแล้ว!

กลัวแล้วจริงๆ!

สิ่งที่น่ากลัวนั้นไม่ใช่ภาพ ไม่มีแม้แต่ฉากกินเนื้อสัตว์ในภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป แต่นั่นคือสิ่งที่ชวนขนหัวลุกที่สุด!

เพราะทุกคนสามารถจินตนาการได้!

ยิ่งจินตนาการ ยิ่งตื่นตระหนก!

อย่างไรก็ตาม ในปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงของเจี่ยงจู๋ อันซวี่ถอนหายใจยาว เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เจี่ยงจู๋นิ่งอึ้ง

“คุณคิดว่านี่คือความจริงหรือ?”

คุณคิดว่าเรื่องที่สองเป็นความจริง?

คุณคิดว่าเซี่ยนอวี๋ไม่ได้โกหกคุณสองครั้งติดต่อกัน?

คุณคิดว่านี่เป็นคำตอบที่น่ากลัวที่สุดหรือ?

อันซวี่วางมีลงบนตำแหน่งของหัวใจ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ ราวกับว่าเขากำลังจะหยุดหายใจ

เขาคิดมากกว่าผู้ชม และมองเห็นมากกว่าผู้ชม

เพราะฉะนั้น…

เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวกับความสยดสยองของภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งกว่าใคร!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน