Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 85

ตอนที่ 85 นี่มันหลินเยวียนมาก

หลังจากที่นักศึกษาสาขาจิตรกรรมเงียบงันไปหลายวินาที ในห้องเรียนอันเงียบงัน ก็พลันมีเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ!

“แม่เจ้าโว้ย!”

“นี่มันเทพเซียนจากไหนเนี่ย”

“ก่อนหน้านี้ใครมันบอกฟระว่าท่านเทพฝีมือสีกวอชไม่ดี เลยให้พวกเรามาช่วย แบบนี้บ้านแกเรียกว่าไม่ดีเรอะ”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“ถ้าแบบนี้เรียกไม่ดี เด็กจิตรกรรมทั้งหมดควรเก็บของกลับบ้านเลยนะ กลับบ้านไปแล้วแม่ก็ต้องถามอีกว่าจะคุกเข่าวาดรูปทำไม”

“พวกเรามาช่วยจริงๆ นั่นแหละ”

“ไม่ได้มาช่วยวาดรูปนะ แต่มาช่วยยกน้ำถือพู่กันจับเก้าอี้ถือจานสีต่างๆ”

“…”

นักศึกษากลุ่มนี้งงไป

เฉาปินหัวหน้าห้องก็งงเหมือนกัน

เขาคิดว่าหลินเยวียนเรียกรุ่นพี่สาขาจิตรกรรมมาช่วยวาดภาพ แต่เขานึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะเรียกคนกลุ่มนี้มาก็เพื่อให้รุ่นพี่สาขาจิตรกรรมซึ่งถนัดเฉพาะทางมาเป็นผู้ช่วย!

นี่มันเรียกว่าแค่มีมือก็ใช้ได้ไม่ใช่เหรอ?

จงอวี๋กลืนน้ำลายลงคอ อ้าปากพูดอย่างยากลำบาก “ที่แท้นอกจากสเก็ตช์ภาพแล้ว สีกวอชท่านก็สุดยอดขนาดนี้เลยเหรอ”

ขอเสริมเกร็ดความรู้เรื่องวิจิตรศิลป์สักหน่อย

การสเก็ตช์ให้ความสำคัญระหว่างรูปทรงและพื้นที่ แต่สีกวอชนั้นเป็นการถ่ายทอดสีสันและองค์ประกอบแวดล้อม หากจะต้องกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเภทนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของมิติซึ่งทุกคนล้วนให้ความสำคัญ ดังนั้นจิตรกรส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปเพียงทิศทางเดียว

บ้างก็เชี่ยวชาญการสเก็ตช์

บ้างก็เชี่ยวชาญสีกวอช

บ้างก็เชี่ยวชาญสีน้ำมัน

บ้างก็เชี่ยวชาญภาพวาดน้ำหมึก

นอกเหนือจากแขนงที่ตนถนัดแล้ว เมื่อจิตรกรชื่อดังบางคนเหยียบย่างเข้าไปในจิตรกรรมแขนงอื่นๆ โดยพื้นฐานแล้วฝีมือจะไม่แย่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีน้อยเหลือเกินที่จะแตะได้ถึงระดับเดียวกับแขนงที่ตนถนัด

เพราะฉะนั้น…

ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแต่คิดไปโดยปริยายว่าหลินเยวียนเป็นศิลปินประเภทหนึ่งซึ่งค่อนข้างถนัดไปทางการสเก็ตช์ ใครจะไปคิดว่าหลินเยวียนจะเป็นอัจฉริยะที่ชำนิชำนาญทั้งการสเก็ตช์และสีกวอชในเวลาเดียวกัน

นี่สิถึงจะเรียกว่าเทพตัวจริง!

ต้องเข้าใจว่าคนที่มานั่งกันอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญสีกวอชกันทั้งนั้น แต่ในตอนนี้นักศึกษากลุ่มนี้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือสีกวอชของปีสามคณะวิจิตรศิลป์ ก็เข่าอ่อนลงไปแล้ว ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

“ท่านเทพสอนสีกวอชฉันหน่อย!”

คำพูดนี้เตือนสติทุกคน ชั่วขณะนั้นก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ นักศึกษาทั้งกลุ่มต่างคนต่างแย่งกันพูด “อ๊าาาา ฉันจะเรียนสีกวอชกับท่านเทพ!”

“ท่านเทพมองผมหน่อย!”

“ขอร้องละท่านเทพสอนฉันหน่อย!”

สอนคนจนกลายเป็นยอดฝีมือด้านการสเก็ตช์ตั้งกลุ่มหนึ่ง ฝีมือในการสอนของหลินเยวียนเป็นประจักษ์แล้ว ในตอนนี้หลินเยวียนแสดงความสามารถในการใช้สีกวอชอีก คนกลุ่มนี้ย่อมรู้ว่าโอกาสนี้หาได้ยากมากแค่ไหน แต่ละคนดูเหมือนคลุ้มคลั่งไปอย่างไรอย่างนั้น!

“ชั่วโมงละห้าร้อยหยวนครับ”

สีหน้าของหลินเยวียนไม่เปลี่ยนแปลง

จงอวี๋แทรกขึ้นมาด้านหน้าสุดด้วยความตื่นเต้น “พวกนายก็อย่าแย่งกันสิ อยากเรียนสีกวอชก็มาจองคิวที่ฉัน อย่าลืมว่าฉันเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของท่านเทพนะ!”

“หน้าไม่อาย!”

ทันใดนั้นก็มีคนโมโหขึ้นมา “คนมีจิตสาธารณะปลอมๆ อย่างนายต้องเขียนชื่อตัวเองลงไปคนแรกแน่ๆ!”

“…”

แน่นอนว่าถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ทุกคนก็ยังมานัดหมายจองคิวเรียนสีกวอชกับหลินเยวียน และจงอวี๋เองก็ใส่ชื่อตนเองลงไปในคิวแรกจริงๆ โดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น

“ไปละ”

หลินเยวียนบอกกับเฉาปินประโยคหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป

“ท่านเทพไปไหนอะ”

“ไปกินข้าวที่โรงอาหารครับ”

สมาชิกชมรมจิตรกรรมกลุ่มนี้จึงปรี่ตามไปด้วย แต่ละคนต่างพูดประมาณว่าจะเลี้ยงข้าว เหลือเพียงเฉาปินซึ่งยืนใจลอยอยู่หน้าหนังสือพิมพ์กระดานดำ

เหยียนเมิ่งเจียและฝ่ายศิลป์กินข้าวเสร็จแล้วก็กลับหอพักไป เพราะทุกคนรู้ว่าหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้หมดหนทางเยียวยาแล้ว ทว่าจู่ๆ เฉาปินก็โทรศัพท์ตามให้พวกเขามา ทั้งหมดจึงลุกขึ้นกลับห้องเรียน

“น่าจะมาผิดห้องนะ”

เมื่อมาถึงห้องเรียนของอาคารตะวันออก หลังจากที่เหยียนเมิ่งเจียเดินเข้ามาแล้วเห็นหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็หันหลังไปพูด

“หา?”

ผู้ชายด้านหลังของเหยียนเมิ่งเจียก็เดินเข้าประตูมามองเช่นกัน แต่ก็ชะงักไป “เหมือนจะมาผิดห้องจริงๆ นะ นี่อาคารไหนเนี่ย”

“ไม่ผิดนะ”

นักศึกษาด้านหลังมองเห็นแผ่นหลังของเฉาปินด้านหน้ากระดานดำ “นั่นไม่ใช่หัวหน้าห้องเราเหรอ”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน

ผ่านไปหลายวินาที พวกเขาก็กรูเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกัน ยืนเหม่อมองภาพวาดทิวทัศน์ของหนังสือพิมพ์กระดานดำ ราวกับสะกดจุดไว้อย่างไรอย่างนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน