เข้าสู่ระบบผ่าน

กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 1017

บทที่ 1017.2 กวานเต๋าของใครเหมือนดอกบัวผลิบาน

ลู่เฉินร ้อนใจจนเกือบจะยกเท้าขึ้นมาแคะเล็บ “อย่ามัวอึ้งอยู่สิ เงิน เกล็ดหิมะถุงหนึ่งมอบให้ปรมาจารย์ชีและพี่หญิงหลวี่เป็ นค่าใช ้จ่ายใน การคุ้มกัน เงินร ้อนน้อยถุงหนึ่งคืนให้กับแม่นางโจว”

ชีซ่งหัวเราะหึหึ ยื่นมือมาลูบหน้าทองกลมป่องของตัวเอง

หลวี่โม่ขมวดคิ้วน้อยๆ นักต้มตุ๋นสองคนนี้โผล่มาจากไหน เด็ก หนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ หรือ?

โจวชิวยิ้มเอ่ย “บางทีนักพรตลู่อาจจาผิดไป เงินร ้อนน้อยถุงนั้น จึงจะเป็ นค่าคุ้มกันที่ข้าตกลงกับคุณชายเฉินเอาไว้”

“พี่น้องกันเองก็ยังหลอกกันได้ลงคอหรือ?! ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอก ว่าได้เงินเกล็ดหิมะมาแค่ถุงเดียวหรือไร?”

นักพรตหนุ่มถลึงตาใส่ แต่จากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความ กระเหี้ยนกระหือรือสายตาร้อนระอุ ถูมือเอ่ยว่า “คนตายเพราะ ทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร เวลาปกติเอาศีรษะไปผูกไว้กับเข็ม ขัดกางเกง กาจัดปีศาจปราบมารไปทั่วเพิ่งจะได้เงินเกล็ดหิมะมากี่ เหรียญเอง เงินร ้อนน้อยหนึ่งถุง! การคุ้มกันครั้งนี้ ผินเต้ารับไว้แล้ว! ไม่รบกวนพี่หญิงหลวี่ให้ต้องออกเดินทาง…”

หลวี่โม่สีหน้าไร ้อารมณ์ ยกชามเหล้าขึ้น แต่กลับบิดหมุนปลาย เท้าเบาๆ ทันใดนั้นนักพรตหนุ่มก็กระเด็นออกไปทั้งคนทั้งเก้าอี้ นาง ประหลาดใจเล็กน้อย นักพรตผู้นี้อ่อนแอมิอาจทานแรงลมได้ถึงเพียง นี้เชียวหรือ?

นางเพียงแค่พลิกหมุนข้อมือ พายุลมกรดระลอกหนึ่งก็เข้าไป “รองรับ” ระหว่างนักพรตและผนังไว้ได้อย่างพอเหมาะพอดี ร่าง นักพรตหนุ่มกระแทกลงพื้น ลุกขึ้นได้ก็ใช ้มือหนึ่งเท้าเอว อีกมือหนึ่ง ยกขึ้น พูดเสียงสั่น “ไม่เป็ นไร…โอ้ย ไม่เป็ นไร ไม่ถือว่าไม่เป็ นไร แค่ เอวเคล็ดเล็กน้อย เรื่องเล็ก เรื่องเล็กน้อย!”

เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่เงยหน้าขึ้นกล่าว “แม่นางหลวี่ละลาบละล้วงหยั่งเชิงเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเจอตะปูแข็งบ้าง หรือไร? หรือจะบอกว่าผู้ฝึกยุทธที่เป็ นเค่อชิงของสกุลจางเขตเทียน เฉาล้วนนิสัยเจ้าอารมณ์กันแบบนี้?”

ชีซ่งพยักหน้ายิ้มกล่าว “หาเงินด้วยความปรองดอง หาเงินด้วย ความปรองดอง หลวี่โม่ รีบขอโทษนักพรตลู่เร็วเข้า สหายน้อยเฉิน พูดได้ถูกต้องออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกต้อง ทาดีกับคนอื่น จะเอา แต่รู ้สึกว่าคนทั้งใต้หล้าเป็ นพวกชั่วช ้ามีแต่เจตนาร ้ายไม่ได้”

หลวี่โม่ลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ล่วงเกินแล้ว”

นักพรตหนุ่มหิ้วม้านั่งเล็กตัวหนึ่งขึ้นมา เดินโซเซกลับมานั่งที่ เดิม ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ตีเพราะ สนิทใจด่าเพราะรัก พี่หญิงหลวี่…”

ปากพูดจาไม่เป็ นการเป็ นงาน แต่จู่ๆ นักพรตหนุ่มกลับหน้า เปลี่ยนสี แม่นางน้อยกล้าสามหาวใส่นายท่านเช่นนี้ เล็งให้แม่นยา แล้ว…กระโดดพรวดออกไป เอาม้านั่งเป็ นอาวุธลับกระแทกเข้าใส่ หลวี่โม่ ผลคือถูกสตรีที่เป็ นผีเดินอ้อมโต๊ะมาแค่ไม่กี่ก้าว มือหนึ่งยื่น มาคว้าม้านั่ง โยนลงพื้น จากนั้นเดินมาหยุดตรงหน้านักพรต ถอง ศอกใส่หน้าอกของอีกฝ่ าย ถองจนสองเท้าของนักพรตลอยพ้นผืน ร่างทั้งร่างลอยอยู่กลางอากาศแล้วไปหล่นอยู่ในห้องหลักของเรือน แผ่นหลังกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะแปดเซียน เกิดเสียงลั่นดังตุ้บ หน้า คว่ากระแทกพื้น นักพรตร ้องโอดโอยอยู่พักใหญ่ก็ยังลุกไม่ขึ้น พูด เสียงอู้อี้ว่าเอวหักแล้ว น้องเฉินช่วยข้าด้วย

เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ควักเงินเทพเซียนสองถุงออกมา โยนไว้บน โต๊ะ “ในเมื่อชอบหาเรื่องนักก็เอาไป”

โจวชิวเหลือบมองถุงเงินสองใบที่อยู่บนโต๊ะ คิ้วกิ่งหลิวของนางตั้ง ชัน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งกว่าจะข่มกลั้นอารมณ์ไว้ได้อย่างไม่ ง่าย ไม่ได้เปิดปากพูดแฉอีกฝ่ าย ช่างเถอะเงินร ้อนน้อยหายไปแค่ ไม่กี่เหรียญก็ถือเสียว่าเป็ นค่าเดินทางที่เฉินเหรินคุ้มกันหนีชิงมาส่งที่ เมืองเล็กแล้วกัน

หลวี่โม่เก็บเงินร ้อนน้อยถุงนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วค่อยโยน เงินเทพเซียนอีกถุงหนึ่งให้กับหนีชิง ยิ้มเอ่ยว่า “นังหนู พวกเรา สามารถออกเดินทางกันได้แล้ว”

โจวชิวกล่าว “หลิวเถี่ย ไปส่งหน่อย”

ชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะวางชามเหล้าลง

หนีชิงท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เห็นว่าพี่หญิงโจวเหมือนจะโกรธก็ ได้แต่หยิบร่มกระดาษน้ามันและห่อสัมภาระขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ติดตาม สตรีออกไปจากเรือนด้วยกัน หันกลับไปมอง พี่หญิงโจวพยักหน้าให้ นาง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตีหน้าเคร่งดื่มเหล้า นักพรตที่สวมกวาน เต๋าดอกบัวไว้บนศีรษะนอนฟุบอยู่ที่ธรณีประตูห้องหลัก โบกมือมา ทางนาง ถึงกับยังยิ้มได้อีก

เดินอยู่ในตรอกเล็ก เด็กสาวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฝืนร่ายวิชา เสียงในใจ เอ่ยว่า “ท่านลุงหลิว นักพรตลู่ผู้นั้น กวานเต๋าบนศีรษะของ เขาประหลาดนัก ข้าไม่เคยเห็นในเมืองเล็กมาก่อน”

เคยได้ยินพี่หญิงโจวพูดว่านักพรตที่มีเอกสารรับรองการออก บวชอย่างถูกต้องล้วนมีข้อพิถีพิถันในการแต่งกาย มิอาจล้าเส้นได้ แม้แต่น้อย หาไม่แล้วหากถูกจับได้ก็จะต้องกินข้าวแดงในคุก เหมือน อย่างกวานเต๋าของฉีเทียนจวินแห่งสานักโองการเทพที่เป็ นรูปหาง ปลา หนึ่งสานักมีสายผู้สืบทอดหลากหลาย เพียงแต่ว่านักพรตหนุ่ม แซ่ลู่กลับเป็ นกวานดอกบัว ทางฝั่งของเมืองเล็กแห่งนี้ก็มีผู้ฝึ ก

ลมปราณบางส่วนที่มีชาติกาเนิดมาจากภูตที่ชอบแต่งกายเป็ น “นาย ท่านนักพรต” อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยมีใครสวมกวานเช่นนี้

หลิวเถี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “หมายความว่าไง?”

หนีชิงกล่าว “กวานเต๋าเหมือนดอกบัวที่ผลิบาน”

หลิวเถี่ยหยุดเดิน สีหน้าซับซ ้อน รู ้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา กะทันหัน

หากเขาจาไม่ผิด ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ นักพรตที่มี คุณสมบัติจะสวมกวานดอกบัว นอกจากอารามเต๋าเล็กไม่กี่แห่งบน ภูเขาของสานักโองการเทพที่ไม่มีชื่อเสียง ควันธูปบางเบาแล้วก็มีแค่ อารามหลิงเฟยของราชวงศ์ต้าซวงเก่าเท่านั้น อดีตเจ้าอารามคือ เซียนจวินเฉาหรง เพียงแค่เพราะเขาคือลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิลู่ของป๋ า ยอวี้จิงจึงสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ ได้รับธรรมโองการในอารามจึงได้รับเกียรตินี้ไปด้วย และนี่ยังเป็ น เรื่องลับบนภูเขาที่หลิวเถี่ยได้ยินมาจากโจวชิวอีกที

จุดที่ลี้ลับมากที่สุดนั้นอยู่ที่ในสายตาของหลิวเถี่ยแล้ว นักพรต หนุ่มผู้นั้นไม่ได้สวมกวานเต๋าอะไรเลย!

หากเขามองเวทอ าพรางตาไม่ออกก็ยังไม่เท่าไร แต่โจวชิวคือผู้ ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีวิชาสืบทอดลึกล้า นางจะมองพลาดได้ อย่างไร?

คนแซ่ลู่ผู้นั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ าไม่กลัว ตาย ก็ต้องเป็ นนักพรตบนทาเนียบที่มาจากอารามหลิงเฟย?!

สะพายกระบี่นั่นด้วยที่ต้องอยู่ให้ห่างๆ เขา ไม่รู ้ว่าท าไมในใจเด็กสาวถึงรู ้สึกวูบโหวง
คนประหลาดสองคนที่เพิ่งได้รู ้จักกันไม่นานเท่าไร แม้ว่าจะไม่มี ท่าทางจริงจัง แต่กลับพูดจาน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พักเท้า อยู่ริมล าคลองระหว่างทาง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ดีดดินโคลนที่ติด รองเท้าทิ้ง เคี้ยวต้นหญ้าในปาก มองเหม่อไปที่ลาคลอง นักพรตลู่ก็ เอ่ยว่าฟ้ าไม่ให้กาเนิดคนไร ้ประโยชน์ ดินไม่มีหญ้าไร ้ชื่อเติบโต เห็น ว่าไม่มีใครช่วยพูดสนับสนุน นักพรตก็หันหน้ามาชวนนางคุย ถาม นางว่ารู ้หรือไม่ว่าท าไมความสามารถในการฟังของหูข้างซ ้ายของ คนคนหนึ่งถึงดีกว่าหูข้างขวา แล้วทาไมถึงได้หันหน้าเข้าหาดินหัน หลังให้ฟ้ า…นางไม่ได้สนใจ นักพรตจึงอธิบายเหมือนพูดกับตัวเองว่า ระหว่างฟ้ าดินมีปราณสองขุมคือหยินกับหยาง ฟ้ าใสดินขุ่น สถานที่ ยากลาบากแร ้นแค้นมีสิ่งมีชีวิตถือกาเนิดมากมายและหูซ ้ายถือเป็ น ธาตุหยาง เป็ นเหตุให้เฉียบไวกว่ามาแต่ก าเนิด หูขวาเป็ นธาตุหยิน ดินฟังได้ดีกว่า นอกจากนี้ชายและหญิงมีความต่าง…กล่าวมาถึงตรง นี้นักพรตหนุ่มก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่น้าในลาคลอง เอ่ยคาพูดบางอย่างที่หนี

ชีซ่งเห็นว่านางตัดสินแล้วก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด ลังเลอยู่ ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “สองคนที่อยู่ในลานบ้าน ความเป็ นมาไม่แน่ ชัด พวกเจ้าระวังไว้หน่อยดีกว่า”

กลับมาถึงลานเรือน โจวชิวเห็นนักพรตหนุ่มที่กลับมานั่งที่เดิม ก าลังนวดเอวอยู่ แล้วยังปากแข็งไม่หาย “แม่นางโจว อย่าเห็นว่า ร่างกายของพี่ลู่ของเจ้าบอบบาง กระดูกไม่แข็งแรงมากพอ แม้จะขี้ โรคแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่นะ นี่ก็คือข้อดีใหญ่เทียมฟ้ าของการที่จิตแห่ง มรรคามั่นคงหนักแน่น ขอแค่แม่นางโจวไม่รังเกียจ ผินเต้าสามารถ ถ่ายทอดคาถาชักน าบทหนึ่งให้แม่นางโจวได้ทันที อย่าว่าแต่ฟ้ าร ้อง ตอนกลางคืนแล้วจะหวาดกลัวเลย ต่อให้เดินอยู่ใต้แสงแดดกลางวัน แสกๆ ก็ยังไม่เป็ นปัญหา มา ขอให้ผินเต้าได้ดูลายมือของแม่นางโจว สักหน่อย ผินเต้าเรียนรู ้มาหลากหลาย จาเป็ นต้องให้ยาที่ถูกกับโรค ถึงจะเหนื่อยครึ่งเดียวได้ประโยชน์เป็ นเท่าตัว…”

โจวชิวโบกมือ “ความหวังดีของนักพรตลู่รับไว้แล้ว คุณชายเฉิน อย่าโทษที่ข้าออกคาสั่งไล่แขกเลย”

เฉินผิงอันกล่าว “เอาเงินคนอื่นมาจ่ายฟาดเคราะห์แทนคนอื่น เงินร ้อนน้อยไม่กี่เหรียญนั้นก็ถือเสียว่าเป็ นค่าตอบแทนที่นักพรตลู่ ช่วยขจัดปัญหายุ่งยากให้กับแม่นางโจวก็แล้วกัน”

ลู่เฉินหยุดท่านวดเอว “อะไรนะ?”

เฉินผิงอันกล่าว “จ้าวฝูหยางและอวี๋ฉุนจือแห่งสองจวนของภูเขา เหอฮวาน พวกเขาเคยสมคบคิดกับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างหรือไม่? และสกุลหลิ่วแคว้นชิงซ่งรู ้เรื่องแต่ปิดบังไว้หรือไม่? อย่ามาพูดเรื่อง หลักฐานไม่หลักฐานอะไรกับข้า เจ้ากับหลิวเปียวจ่างแค่มีการคาด เดาอยู่ในใจก็พอแล้ว”

ใจของโจวชิวสะท้านไหว หรี่ตาลง เอ่ยเนิบช ้าว่า “เจ้าเป็ นใครกัน แน่?!”

บทสนทนาระหว่างนางกับชีซ่งเมื่อครู่นี้ห่างจากเรือนไปค่อนข้าง ไกล แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขาคนหนึ่งคือผู้ฝึ กลมปราณ ขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง มีหรือที่ คนทั้งสองในลานบ้านจะสามารถแอบฟังได้ง่ายๆ?

นักพรตหนุ่มเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “พวกเจ้า” สิ แม่นางโจว เจ้าลืม พูดค าว่าพวกไป ผินเต้าเองก็เป็ นวีรบุรุษเป็ นลูกผู้ชายที่มีศักดิ์ศรี เหมือนกันนะ! ในชีวิตนี้ไม่ชอบเรื่องอยุติธรรมที่สุดแล้ว”

เฉินผิงอันมองลู่เฉิน “เห็นเงินแล้วถึงจะท างาน”

ลู่เฉินวางชามเหล้าลง ส่งเสียงเรอหนึ่งที แล้วพึมพาคล้ายซุบซิบ กับใครอยู่ จากนั้นนักพรตก็สะบัดชายแขนเสื้อ

จนใจก็จนใจอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเห็นเงินแล้วถึงจะท างาน ไม่ใช่ ได้เงินมาแล้วถึงจะท างานเสียหน่อย

ใครให้ผินเต้าเป็ นสหายรักสหายสนิทที่แค่เจอหน้าก็สามารถดื่ม เหล้าด้วยกันได้กับเจ้าขุนเขาเฉินเล่า

โจวชิวหดมือไว้ในชายแขนเสื้อ คลางแคลงไม่แน่ใจ นักพรต ยากจนผู้นี้แสร ้งทาเป็ นลี้ลับไปทาไม? มีความหมายตรงไหนกัน?

ครู่หนึ่งต่อมา หน้าตรอกก็มีหญิงสาวมัดผมทรงกลมเผย หน้าผากโหนกนูนโผล่มาจากความว่างเปล่า เรือนกายของนางสูง เพรียว นางหันมามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ในลาน บ้านแล้วยิ้มเรียก “อาจารย์พ่อ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!