บทที่ 1021.4 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่น “เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสอง ข้าชื่อว่าหนีชิง ฉายาชิงหนี”
อยู่ในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานที่มีคนดีและคนเลวปะปนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเฟิ่งเล่อ ชื่อของเฉิงเฉียนและจางฉงเรียกได้ ว่าดังประดุจฟ้ าผ่าข้างหู ไม่มีใครที่ไม่รู ้จัก
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มจางอวี่เจี่ยวสีหน้าไร ้อารมณ์
จินหลวี่เกร็งใบหน้าข่มกลั้นไว้ไม่ให้หลุดเสียงขา
ผู้ฝึกตนทาเนียบที่มีการสืบทอดอย่างถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วขอ แค่เลื่อนเป็ นขอบเขตถ้าสถิตถึงจะมีคุณสมบัติได้ครอบครองฉายา เจ้าที่เป็ นผู้ฝึ กลมปราณซึ่งเพิ่งขึ้นเขาฝึ กตนทุกวันนี้เพิ่งจะเป็ น ขอบเขตหนึ่ง วาดงูเติมขาบอกฉายาชิงหนีไม่ใช่เท่ากับยอมรับว่า ตัวเองคือผู้ฝึกตนอิสระหรอกหรือ
เฉิงเฉียนเงียบไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ใช ้วิธีมองลมปราณและการ ดูนรลักษณ์ของบนภูเขามามองประเมินเด็กสาวหนึ่งที่ คุณสมบัติ พอใช ้ได้ แต่ว่าอายุมากไปสักหน่อย สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการ ฝึกวิชาชั้นสูงไปแล้ว
จางฉงกลับพยักหน้ายิ้มกล่าว “สหายน้อยชิงหนีมีญาติและมิตร อยู่ที่เมืองเล็กหรือไม่?”
หากว่ามีก็จะให้จางไฉ่ฉินและจางอวี่เจี่ยวกลับไปที่เมืองเล็กอีก รอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนต้องรับเคราะห์เดือดร้อนไปกับการรวมก าลัง ล้อมโจมตีภูเขาเหอฮวานจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ซึ่งมีการวางแผนมา นานแล้ว
หนีชิงตอบตามสัตย์จริง “มี แต่พวกเขาดูแลตัวเองได้ แล้วก็มี แผนการเป็ นของตัวเองด้วย”
จางฉงยิ้มกล่าว “บอกตามตรง อีกเดี๋ยวทางเมืองเฟิ่ งเล่อจะมี มรสุมเกิดขึ้น ความเคลื่อนไหวไม่น้อย เทพเซียนบนภูเขาตีกัน ไม่แน่ เสมอไปว่าทุกคนจะรักษาตัวรอดได้”
หนีชิงกล่าว “พี่หญิงโจวและพวกท่านลุงหลิวมีธุระของตัวเองที่ ต้องจัดการ”
อยู่ร่วมกันมานานหลายปีขนาดนี้ โจวชิวกับหลิวเถี่ยมีนิสัยเป็ น อย่างไร เด็กสาวรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร
เฉิงเฉียนมองเด็กสาวที่มีสีหน้าหนักแน่น เจินเหรินลัทธิเต๋ที่มีรูป โฉมเป็ นเด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ นี่ไม่ต่างจากการสีซอให้ควายฟัง ลม วสันต์ไม่พัดเข้าหูลา
เขากลั้นลมหายใจทาสมาธิ ทามุทราอยู่ตรงหน้าอกด้วยท่าที่มี ความหมายคือแบกพลังหยื่นโอบกอดพลังหยางไว้ในอ้อมอก
เซียนดินยุคบรรพกาล เจินเหรินยุคโบราณ ล้วนกินลมปราณ เพื่อความเป็ นอมตะ
วิถีแห่งการฝึ กตนของผู้ฝึ กลมปราณที่แม้จะไม่ได้เป็ นดั่งการ พายเรือทวนกระแสน้าเหมือนการฝึ กหมัดของผู้ฝึ กยุทธ แต่ก็ พิถีพิถันในเรื่องของน้าหยดลงหิน
นิสัยของเด็กสาวไร ้เดียงสาเรียบง่าย เวลานี้นางแค่คิดในใจว่า เมื่อเทียบกับนักต้มตุ๋นสองคนก่อนหน้านี้แล้ว ผู้อาวุโสบนภูเขาสอง คนที่อยู่ตรงหน้าคือเทพเซียนอย่างแท้จริง คือเทพเซียนที่แท้จริง
จางฉงใช ้เสียงในใจถามว่า “เฉิงเฉียน เจ้าไม่ใช่คนที่ใจคอคับ แคบสักหน่อย ท าไมถึงรู ้สึกเกลียดขี้หน้าจ้าวฝูหยางถึงเพียงนี้ ถึงขั้น ที่ว่าดูเหมือนเจ้าจะมีความ….ชิงชังต่อเขาด้วย?”
หากจะพูดว่าเป็ นเพราะจ้าวฝูหยางคือภูตก็น่าจะไม่ถูกต้อง เพราะ ยอดเขาชิงจิ้งและ ยอดเขาฉุยชิงของพรรคจินแชวก็มีผู้ฝึกลมปราณ ที่มีรากฐานพอๆ กัน เฉิงเฉียนไม่ได้ต่อต้านในเรื่องนี้
หากเพียงแค่เพราะโชควาสนาตระกูลเซียนที่จ้าวฝูหยางมีต่อ อารามจินเซียน เฉิงเฉียนกังวลว่าหากเขาเลื่อนเป็ นก่อก าเนิดแล้วจะ มาช่วงชิงตาแหน่งเจ้าประมุขกับตัวเองที่พรรคจินแชว เกรงว่าก็ยิ่ง เป็ นการดูแคลนความทะเยอทะยานบนมหามรรคาของเฉิงเฉียน เช่นกัน
ปีนั้นจ้าวฝูหยางถูกขับออกจากพรรคจินแซว ถูกตัดชื่อออกจาก ท าเนียบ กลายเป็ นผู้ฝึกตนอิสระ ภายหลังจ้าวฝูหยางผูกสมัครเป็ นคู่ บาเพ็ญเพียรกับภูตจิ้งจอกที่ริมแม่น้าใหญ่อย่างลับๆ เฉิงเฉียนล้วน เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับไม่เคยถือสาคนทรยศอย่างจ้าวผู้หยาง นี่ เป็ นดั่งสายฟ้ าที่ไม่ประชันเสียงร ้องกับคางคก แต่เรื่องที่ทาให้เฉิง เฉียนเกิดจิตสังหารไม่ใช่เพราะจ้าวฝูหยางมีหวังจะฝ่ าทะลุคอขวด ขอบเขตโอสถทอง เลื่อนเป็ นก่อกาเนิด แต่เป็ นเพราะวิธีพิสูจน์มรรคา ของงูหลามภูเขาตัวนี้สกปรกโสมมเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวพันไปถึงเส้นสายสืบทอดหลายสายของพรรคจินแชว สาหรับเฉิงเฉียนที่นับตั้งแต่แรกเริ่มขึ้นเขาฝึ กตนก็เห็นการเป็ น นักพรตที่ได้รับถ่ายทอดโองการจากพรรคจินแชวเป็ นความ ภาคภูมิใจของตัวเองแล้ว นี่ก็คือการละเมิดความถูกต้องตาม ประเพณี คือการทรยศอย่างร ้ายแรง
เฉิงเฉียนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะใช ้เสียงในใจตอบว่า “ในศาล บรรพชนบนภูเขา จ้าวฝูหยางแขวนภาพเหมือนของบรรพบุรุษไว้ สามภาพ ได้ยินมาว่าเขายังพยายามจะแขวนภาพเหมือนของเจ้า ลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี่จิงด้วย”
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็ นยอดเขาฉุยชิงหรืออารามจิน เซียน หากนับกันโดยระบบสืบทอดตามความหมายที่เข้มงวดแล้วก็ ถือว่าเป็ นสายรองของ “ภูเขาเบื้องล่าง นครหนันหัวป๋ ายอวี้จิง เพียงแต่ ไม่ได้รับการยอมรับ” ก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรบรรพบุรุษ
บุกเบิกภูเขาของพรรคจินแชวในปีนั้นก็คือลูกศิษย์ที่ถูกเฉาเทียนจวิ นแห่งอารามหลิงเฟยขับไล่ออกจากอาราม
จางฉงเอ่ยด้วยน้าเสียงกังขา “แค่เรื่องนี้น่ะหรือ?”
เฉิงเฉียนน้าเสียงเย็นชา “ แค่” อย่างนั้นหรือ?”
จางฉงคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็จริงนะ ระบบการสืบทอดลัทธิเต๋า ของพวกเจ้าไม่ค่อยเหมือนกับตระกูลล่างภูเขาของพวกเราเท่าไร จริงๆ”
ใช่แล้วๆ มีคากล่าวที่ปิดบังอาพรางซึ่งไร ้หลักฐานมายืนยันแล้ว ว่า ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเฉิงเฉียนก็คือเลื่อนเป็ น เซียนเหริน สุดท้ายได้พบหน้าเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิง
“อาจารย์ลุงไม่รักษากฎระเบียบของส านัก เคยแอบมอบชุดคลุม อาคมชิ้นหนึ่งให้กับจ้าวฝูหยาง ชุดคลุมอาคมนั้นสร ้างตามระเบียบ พิธีการของนักพรตที่ได้รับธรรมโองการจากอารามหลิงเฟย นอกจากนี้จ้าวฝูหยางยังขวัญกล้าเทียมฟ้ า ถึงกับบังอาจสร้างกวาน เต๋าที่ล้าเส้นเกินขอบเขตไปมากขึ้นมาเองโดยพลการ เพ้อฝันว่าสัก วันหนึ่งจะสวมชุดคลุมอาคมตัวนี้และสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ เดินโอ้อวดไปทั่ว”
พริบตานั้นสายตาของเฉิงเฉียนก็เปลี่ยนมาเป็ นเฉียบคม ปราณ สังหารท่วมท้น เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ผู้ที่ไม่มีความรู ้และความสามารถ นี้แต่กลับสวมชุดเช่นนี้ มีโทษสมควรตาย!”
……
ห้องบุปผาแห่งหนึ่งของจวนเฝิ่นหวาน
ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ของภูเขาเหอฮวานและจ้าวแยนคุณหนูสี่ ที่อายุน้อยที่สุดช่วยฝู่ จวินอวี๋ฉุนจือผู้เป็ นมารดาปลอบใจเจ้าแห่ง ทะเลสาบร ้อยบุปผาที่รังเก่าถูกทาลายจนวอดวายสิ้น
อวี๋ฉุนจือมองดูคล้ายขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย แต่แท้จริงแล้วในใจ แอบสมน้าหน้าอีกฝ่ ายมองครอบครัวสามคนจากจวนสู่เยว่ที่ โศกเศร ้าเหมือนบิดามารดาตาย ยกค าพูดดีๆ มาปลอบใจจนหมดสิ้น ก็ยังไม่อาจทาให้อีกฝ่ ายรู ้สึกดีได้ ก็จริงนะ จวนวารีแห่งหนึ่งนึกจะ หายก็หายไปทั้งอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องขวัญผวาอยู่แล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากแต่ละฝ่ ายที่อยู่ใต้การปกครองของพวกเขา รับผิดชอบช่วยเปิ ดทางให้กับทหารม้าทัพหน้า ถนนหลวงที่อยู่ใน อาณาเขตของภูเขาเหอฮวานไม่ได้รับการซ่อมแซมดูแลมานาน หลายปี พืชหญ้าจึงขึ้นรกชัฏ เป็ นหลุมเป็ นบ่อเดินทางลาบากมานาน มากแล้ว
ในรถม้าคันนี้ที่ห้องโดยสารกว้างขวางอย่างมาก สามารถวาง โต๊ะน้าชาไว้ได้ ฮ่องเต้ผู้เฒ่าของแคว้นชิงซิ่งที่สวมชุดคลุมมังกรสี เหลืองสดกาลังพลิกอ่านฎีกาที่กองกันเป็ นภูเขาขนาดย่อม บนโต๊ะ
น้าชาวางกระถางธูปเครื่องกระเบื้องลายชื่อหลงไว้แค่ใบเดียว ควันสี ม่วงลอยกรุ่น ธูปที่จุดไว้ทาจากกรรมวิธีลับของพรรคจินแชว สามารถปลอบประโลมจิตใจให้สงบ
นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้แคว้นชิงซิ่งนั่งบัลลังก ์มังกรก็เรียกตัวเองว่า โอรสสวรรค์ผู้มานะหมั่นเพียรมาโดยตลอด
คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาคือชายหนุ่มหน้าตาคมคายหมด จด ก็คือรัชทายาทที่ก าลังจะเข้าพิธีสวมกวาน เพราะเขาไม่ใช่ บุตรชายคนโต ดังนั้นเมื่อปลายปีของปีที่แล้วและฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ทั่วทั้งราชสานักจึงมีคาวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน ฮ่องเต้ไม่ได้จง ใจปิดบังเรื่องนี้ ทั้งยังเอาอ่านฎีกาลับที่มาจากท้องถิ่นต่างๆ มากมาย ให้เขาอ่านอยู่ตลอด หากไม่เป็ นเพราะเห็นฎีกาพวกนั้น ผู้สืบทอด ท่านนี้ก็คงคิดว่าตัวเองคือตัวเลือกรัชทายาทที่ผู้คนคาดหวังจริงๆ อย่างน้อยที่สุดอาจารย์ผู้เฒ่าที่มียศเป็ นบัณฑิตหลายคนของจวนใน อดีตรวมไปถึงเหล่าขุนนางผู้ให้ความช่วยเหลือในฝ่ ายจั่วขุนตาหนัก รัชทายาททุกวันนี้ ก็ล้วนมีการบอกอย่างชัดเจนและบอกเป็ นนัย เช่นนี้
เพราะตอนนั้นเขาถามคาถามหนึ่งกับเสด็จพ่อว่าทาไมพวกเขา ถึงต้องหลอกลวงปิดบังตนเช่นนี้
ด้วยรัชทายาทคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ฟังคาพูดที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้ คาพูดที่ชื่อสัตย์มักฟังขัดหูแต่เป็ นประโยชน์ต่อตัวผู้ฟัง หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินแค่นี้ เขายังเข้าใจอยู่บ้าง
ฮ่องเต้กลับเอ่ยคาตอบประหลาดที่รัชทายาทคิดเป็ นร ้อยตลบก็ ยังไม่เข้าใจ พวกเขากลัวว่าเจ้าจะแอบจดจาความแค้น หลังขึ้น ครองราชย์แล้วค่อยมาคิดบัญชีกับพวกเขา
ยังพูดด้วยว่าเมื่อไหร่ที่คิดจนเข้าใจแล้วก็ถือว่าเจ้าพอจะสืบทอด บัลลังก ์ได้แล้ว
ฮ่องเต้เฒ่าโยนฎีกาที่มาจากองค์รักษ์ประจาองค์รัชทายาทฝ่ าย ซ ้ายมาให้ แล้วเอ่ยว่า“เจ้าลองอ่านดูสิ”
รัชทยาทรับฎีกามากวาดตาอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้อง ขมวดคิ้วน้อยๆ หวังว่าทางราชสานักจะสั่งห้าม “คนที่อยู่นอกระบบ ชนชั้น” ไม่ให้รับหน้าที่เป็ นขุนนางที่สูงส่งและทรงเกียรติซึ่งมี “ขุน นางห้าสานัก” เป็ นหนึ่งในนั้น จาเป็ นต้องใช ้ตัวลูกหลานตระกูลขุน นางและบัณฑิตผู้มีความรู ้เท่านั้น….นี่ผิดจากอุดมการณ์ที่รัชทายาท ยึดถือมาโดยตลอดอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ราชสานักกาลังรอการฟื้นฟู จึงควรเลื่อนขั้นให้กับพวกขุนนางที่มีความรู ้ความสามารถอย่าง แท้จริงและบัณฑิตผู้ไม่แสวงหาชื่อเสียงที่ปลีกตัวอยู่ในชนบทซึ่งมี ชาติก าเนิดไม่สูงนัก
ฮ่องเต้เฒ่ามองรัชทายาทที่ทาท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาจึงเอ่ยว่า “หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตามที่ข้าบอก”
รัชทายาทรีบเอาพู่กันจุ่มหมึก ฮ่องเต้ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช ้าว่า “เหมาะสม อนุญาตให้ท าได้นับแต่วันนี้ไปกรมขุนนางจะไม่ให้ ความสาคัญกับคนที่ไม่มีระดับขั้นอีก”
ฮ่องเต้ผู้เฒ่ากล่าว “หากยังไม่รู ้สึกเบื่อก็ลองอ่านฎีกาพวกนี้ดู” รัชทายาทหนุ่มจึงเลือกเอาฎีกาที่มีสีเหลืองแปะไว้เยอะเป็ นพิเศษ มาอ่าน
แคว้นต่างๆ มากมายที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมีกฏใน วงการขุนนางที่สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็ นประเพณีอย่างหนึ่งมา โดยตลอด เอกสารราชการที่เสนอให้แก่เบื้องบนอย่างฎีกาหรือ บันทึกราชการของขุนนางใหญ่ในราชส านักล้วนจะต้องใช ้กระดาษ ขาวเขียน หากเนื้อหาค่อนข้างมาก ตัวอักษรเยอะ กังวลว่าฮ่องเต้จะ อ่านไม่หมด ขุนนางก็จะใช ้กระดาษเหลืองคัดลอกเฉพาะส่วนที่สาคัญ มาพร ้อมกับแนบเอกสารฉบับเดิมไว้ด้านท้ายอย่างมากสุดต้องไม่เกิน ร ้อยคา ให้ดีที่สุดคือภายในสามสิบคา เพื่อสะดวกให้ฮ่องเต้อ่านได้ อย่างว่องไว ประหยัดเวลา
ฎีกาฉบับหนึ่งในนั้นมาจากมือของหลางจงกรมโยธา เรียกร ้อง ให้ราชสานักเลื่อนกรมโยธาที่มีกิจธุระยุ่งวุ่นวายให้ได้ “เดินไปเบื้อง หน้า” อยู่ด้านหลังกรมพิธีการและกรมขุนนางอยู่เบื้องหน้ากรม กลาโหม กรมอาญาและกรมคลัง ส่วนกรมโยธาและกรมคลัง เมื่ออิง ตามกฎเดิมของราชสานักก็จะถือว่าเป็ นที่ว่าการที่ “เดินอยู่เบื้องหลัง ซึ่งฟ้ าผ่าก็ไม่มีทางสะเทือนพูดง่ายๆ ก็คือหลางจงที่อยู่ในกรม
เบื้องหลัง หากได้ย้ายไปอยู่กรมเบื้องหน้า อันที่จริงก็คือการเลื่อนขั้น ที่จริงแท้แน่นอนอย่างหนึ่ง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!