ลู่เฉินดื่มเหล้าไปแล้วก็โยนกาเหล้าใบนั้นทิ้งไปยังริมลาธารนอก หน้าต่าง ปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้า หากไม่ผิดไปจากที่ขาดก็ จะถูกเทพลาคลองคนใหม่ของแม่น้าตอนล่างที่มองของออกเก็บเข้า ไปไว้ในกระเป๋ าของตัวเอง
เจ้าเกาเนี่ยงเป็ นสหายดื่มสุรากับอื่นกวานหนุ่ม ข้ากับเฉินผิงอัน ก็เป็ นสหายกัน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพวกเราสองคนคือสหายที่ยัง ไม่เคยพบหน้ากันแล้ว ของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งที่สามารถหลอม โชคชะตาน้าได้ ไม่ถือว่าแสดงความเคารพนับถือได้มากพอ
หันกลับไปยิ้มเอ่ยกับหนิงจิ๋ว่า “อีกเดี๋ยวอาจารย์เฉินของพวกเรา ก็จะสอนหนังสือแล้วเจ้าตามข้าไปรอนอกห้องเรียน ไปดูของที่ น่าสนใจหลายๆ ชิ้นด้วยกันก่อน”
ใต้ชายคานอกห้องแขวนกระดิ่งเอาไว้หนึ่งพวง ตัวกระดิ่งห้อยไว้ ด้วยเชือกเส้นยาวปลายเชือกน่าจะสูงประมาณแขนตอนเหยียดออก ของเฉินผิงอัน เจ้าลัทธิลู่มือบอนจริงๆ หมายจะเอื้อมมือไปดึงกระดิ่ง แต่กลับถูกหนิงจี๋ส่งเสียงห้ามไว้ ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่านอกจากเจ้าและข้า แล้ว พวกเขาล้วนไม่ได้ยิน เห็นว่าเด็กหนุ่มยืนกรานในความคิดของ ตัวเอง ลู่เฉินก็ได้แต่หยุดมือ พาเด็กหนุ่มไปดูของอีกชิ้นหนึ่งแทน ถามว่ารู ้หรือไม่ว่าคืออะไร? หนิงจี๋บอกว่าไม่รู ้ ลู่เฉินจึงเริ่มแนะนาให้
ฟัง ที่แท้เฉินผิงอันได้ทานาฬิกาแดดแบบเรียบง่ายกับมือตัวเองไว้ที่ นอกโรงเรียน แกะสลักตัวอักษรของสิบสองแผนภูมิดิน อาศัยดูจาก เงาของดวงอาทิตย์ที่ทอดลงมามาคานวณเวลา หนึ่งวันมีสิบสองชั่ว ยาม หนึ่งชั่วยามคือแปดเค่อ (หนึ่งชั่วยามของจีนจะหมายถึงสอง ชั่วโมง หนึ่งเค่อคือสิบห้านาที หนึ่งชั่วยามจึงมีแปดเค่อ)
เพียงแต่ว่าหากเป็ นวันที่เมฆครึ้มมีฝนก็ไม่อาจแน่ใจในเวลาได้ แล้ว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงบอกให้จ้าวขู่เซี่ยคอยเตือนตัวเองในช่วงเวลา ที่สาคัญบางอย่าง
ลู่เฉินยื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว กดลงบนเงาแดดที่อยู่บนนาฬิกาแดด แล้วเริ่มขยับเคลื่อนเงาก็เคลื่อนตามนิ้วมือของเจ้าลัทธิลู่ไปอย่าง รวดเร็ว
หนิงจี๋หันหน้าไปมองทางห้องเรียนตามจิตใต้ส านึก ภาพ เหตุการณ์ในห้องคล้ายหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกพลิกเปิดหน้าหนังสือ อย่างรวดเร็ว รอกระทั่งลู่เฉินเก็บนิ้วกลับมา ภาพเหตุการณ์นั้นถึงได้ หยุดนิ่ง ทุกอย่างกลับคืนมาเป็ นปกติ
จากนั้นลู่เฉินก็เดินเข้าไปในห้องของเฉินผิงอัน แม้หนิงจี๋จะ ประหลาดใจ แต่กลับยืนอยู่แค่ตรงหน้าประตู ในเมื่อขัดขวางเจ้าลัทธิ ลู่ผู้นี้ไม่ได้ เด็กหนุ่มก็ต้องคอยข่มใจที่อยากรู ้อยากเห็นของตัวเอง เอาไว้
ลู่เฉินมองตาราเป็ นปึกๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ มีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ เป็ นต้นฉบับที่เฉินผิงอันเรียบเรียงขึ้นด้วยตัวเอง เขาคลี่ยิ้มอย่าง เข้าใจ ดูท่าเฉินผิงอันที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ตาราชั้นต้นที่เอาไว้สอน เด็กนักเรียนประถมที่เฉินผิงอันเอามาใช ้ก็ไม่ได้มีแค่ตาราเด็กประถม ที่โรงเรียนทั้งหลายล่างภูเขานิยมใช ้กันอย่างพวกคัมภีร ์สามอักษร “หลงเหวินเปี้ยนอิ่ง” และ “โยวเซวี่ยฉงหลิน” เท่านั้น
เดินอยู่ท่ามกลางแม่น้าแห่งกาลเวลา เด็กหนุ่มที่เดินลุยน้าไม่รู ้ตัว แม้แต่น้อยว่าตัวเองถึงกับไม่มีความรู ้สึกเวียนหัวตาลาย
นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณที่อยู่ในเนื้อ หนังมังสาร่างนี้ของหนิงจิ๋ว่าโดดเด่นถึงเพียงใด
ลู่เฉินเดินออกจากห้องมาแล้วก็สะบัดข้อมือ ฝ่ ามือมีนาฬิกาแดด อันจิ๋วเพิ่มมาหนึ่งอันเขายื่นส่งให้กับหนิงจี๋ “รับเอาไว้ ให้เจ้าเป็ นคน ควบคุมความเร็วในการไหลหายไปของเวลา”
หนิงจี๋ส่ายหน้า
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “หนิงจี๋ จงจาหลักการเหตุผลข้อหนึ่งเอาไว้ จะมี หรือไม่มีเจ้ากับเจ้าจะ ใช ้หรือไม่ใช ้เป็ นคนละเรื่องกัน มีความต่างราว ฟ้ ากับเหว”
หนิงจี๋ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยขอบคุณเจ้าลัทธิลู่คาหนึ่งแล้ว เด็กหนุ่มก็รับนาฬิกาแดดอันนั้นมาอย่างระมัดระวัง น้าหนักเบากว่าที่ คิดไว้หลายส่วน
จากนั้นหนิงจี๋ก็ถามว่า “เจ้าลัทธิลู่ สามารถท าให้เวลาเดินช ้าลง หน่อยหรือเดินย้อนกลับไปได้หรือไม่?”
ในใจของลู่เฉินแอบชื่นชมเด็กหนุ่มที่สรุปจากเรื่องหนึ่งก็อนุมาน ไปเรื่องอื่นๆ ได้ เขา พยักหน้า กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “แน่นอนว่า ย่อมได้ เป็ นแค่ลูกไม้เล็กน้อยที่เทพเชียนบน ภูเขาล้วนใช ้เป็ น ไม่มี ค่าพอให้พูดถึง เจ้าไม่ต้องรู ้สึกเลื่อมใสในฝีมือของผินเต้าหรอก”
เด็กหนุ่มเดาะลิ้นชื่นชม เทพเซียนบนภูเขามีวิชาอภินิหารที่ ยิ่งใหญ่กันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในหัวของลู่เฉินมีแต่ความรู ้สึกเป็ นสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ถึง อย่างไรเกินครึ่งอีกฝ่ ายก็ไม่น่าจะใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนแล้ว หลอกได้มากเท่าไรก็จะหลอกไปมากเท่านั้นในอนาคตมีวันใดที่เด็ก หนุ่มรู ้ว่าเฉินผิงอันทาไม่ได้แม้กระทั่งควบคุมแม่น้าแห่งกาลเวลาสัก เส้น ถึงเวลานั้นคนสองคนตาใหญ่มองตาเล็ก ตอนนี้แค่ลู่เฉินคิดถึง ภาพเหตุการณ์นี้ก็รู ้สึกว่าน่าสนใจแล้ว น่าสนุก มีความหมายอย่าง ยิ่ง!
ในโรงเรียน ในซอกเล็บบนสองมือของนักเรียนบางคนเต็มไป ด้วยขี้ดิน
และก็มีบางคนที่บ้านยากจน อายุน้อยๆ ก็มีรอยด้านเต็มฝ่ ามือ ไม่สวมรองเท้า หรือถ้าดีขึ้นมาหน่อยตอนที่เข้าเรียนก็ได้สวมรองเท้า คู่ใหม่
มีเด็กบางคนที่อยู่ไม่นิ่งชอบขยับตัวราวกับว่าไม่มีกันติดตัวมา หากไม่ชอบเอียงตัวไปมาอยู่ในห้องเรียนก็มักจะชอบไปแหย่เพื่อนที่ นั่งโต๊ะข้างๆ กัน
ยืนอยู่หน้าประตู หนิงจี๋รู ้สึกไม่กล้าเข้าไปในห้องเรียนอยู่บ้าง
ลู่เฉินยืนอยู่ด้านข้าง ยกขาข้างหนึ่งวางพาดไว้บนกรอบหน้าต่าง
ก้มตัวยึดขา
หนิงจี๋ถามเสียงเบา “ทาไมนักพรตอู่ถึงไม่ใช ้ชื่อเดิม?”
ยังคงไม่กล้าพูดด้วยน้าเสียงระดับปกติ เด็กหนุ่มมักจะรู ้สึกว่า ตัวเองอาจไปรบกวนการสอนของนักพรตอู๋อยู่เสมอ
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ความเคยชินนี้ไม่ค่อยดี ไม่ผึ่งผายมากพอ ท่อง อยู่ในยุทธภพต่างก็พูดกันว่าเดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ไม่ใช่ หรือ ในฐานะสหาย คราวหน้าผินเต้าจะต้องโน้มน้าวเฉินผิงอันให้ดีๆ แล้วล่ะ”
“อู๋ตีพ้องเสียงกับค าว่าอู๋ตี๋ (ไร ้ศัตรูเทียมทาน) สาเหตุที่ใช ้ นามแฝงนี้เพราะปีนั้นเขากับสหายรักคนหนึ่งเคยจับมือกันไปเยือน สานักสั่วอวิ๋น คือพรรคอักษรจงแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ถือว่ามี รากฐานลึกล้าอยู่บ้าง พอไปถึงหน้าประตูภูเขา เขาเกิดความคิด กะทันหันบอกว่าตัวเองชื่อเฉินคนดี ฉายา “อู๋ตี๋” บอกว่าชอบเดิน ทางตรง จึงต้องการให้สานักสั่วอวิ่นขยับภูเขาบรรพบุรุษที่ขวางทาง
เขาออกไป เจ้าฟังดูสิ หากเจ้าเป็ นคนเฝ้ าประตูของสานักสั่วอวิ๋นได้ ยินคาพูดระยานี้แล้วจะไม่อยากต่อยคนหรือ?”
หนิงจี๋กล่าว “นักพรตอู๋ท าอะไรต้องมีเหตุผลของเขาแน่”
ลู่เฉินยิ้มชอบใจ “บังเอิญยิ่งนัก สหายของเขาชื่อว่าหลิวจึงหลง ตอนนั้นถูกเขาบอกว่าเป็ นลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วก็เปลี่ยนชื่อให้ไป พร ้อมกันด้วย ยังไม่มีฉายา ชื่อว่าหลิวเต้าหลี่ (หลักการเหตุผล) คน หนึ่งคือเฉินคนดีที่ชีวิตนี้เชื่อว่าคนทาดีต้องได้ดีตอบแทน อีกคนหนึ่ง คือหลิวเต้าหลี่ที่มีความอดทนในการใช ้เหตุผลอย่างมาก เชื่อมั่นว่า การใช ้เหตุผลกับผู้อื่นจะต้องได้ผลเสมอ หากคว้าจับจุดส าคัญไว้ได้ ก็ไม่ใช่ว่าเป็ นคนดีที่สามารถใช ้เหตุผลดีๆ ได้หรอกหรือ? เมื่อเป็ น เช่นนี้ก็ถือว่าเป็ นความปรารถนาที่งดงามอย่างหนึ่งจริงๆ”
หนิงจี๋เหลือบตามองถ้วยเปล่าที่นักพรตลู่วางไว้ข้างเท้ารวมไปถึง ตะเกียบคู่นั้นที่วางอยู่บนถ้วยตามจิตใต้ส านึก ก่อนจะหันมามองถ้วย และตะเกียบในมือของตน เด็กหนุ่มสายหน้า รู ้สึกว่าค าตอบในใจของ ตนไม่น่าจะถูกต้อง
“ให้ยืมเหมือนการให้ทาน ทวงหนี้เหมือนการขอคืน”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “เป็ นมานับแต่โบราณ”
หนิงจี๋ไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรคิดไปก็ไม่เข้าใจ พียงแค่เก็บ รวบชามและตะเกียบของนักพรตลู่มาด้วยกัน เดินไปในห้องครัว ล้าง ให้สะอาดก่อนแล้วค่อยเอาชามและตะเกียบวางแยกกลับไปต าแหน่ง เดิมบนชั้นและในกระบอกไม้ไผ่
ลู่เฉินสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หันหน้าไปจ้องมองคนชุด เขียวที่อยู่ในห้องเรียน
โรงเรียนเริ่มทาการสอนตรงเวลาทุกวัน คาบเช ้าท่องตาราสอง เค่อ ถือว่าเป็ นการทบทวนบทเก่าเตรียมพร ้อมส าหรับบทใหม่
เด็กที่มาสายจะต้องถูกลงโทษให้ยืนติดผนังในห้องเรียน หาก จานวนครั้งมากเข้าจะต้องถูกไม้บรรทัดตีมือสามที เด็กบางคนที่ติด
เล่น ขี้ลืม ทาการบ้านไม่เสร็จ นอกจากจะลงโทษให้ยืนและโดนตีแล้ว ด้านหลังจะมีโต๊ะและม้านั่งชุดหนึ่งตั้งไว้ให้โดยเฉพาะ ให้พวกเขาท า การบ้านชดเชยให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะกลับมานั่งที่ของตัวเองได้
ที่นั่งในห้องเรียนแบ่งตามช่วงอายุ แบ่งออกเป็ นสามระดับ นั่นคือ หกขวบถึงแปดขวบแปดขวบถึงสิบขวบ และสิบขวบขึ้นไป
เด็กสิบกว่าคนต่างก็มีโต๊ะและม้านั่งของตัวเอง เพราะนักเรียนมี ไม่มาก ดังนั้นห้องเรียนจึงไม่ได้ดูแออัด
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าเข้าหาพวกนักเรียน มองดู เหมือนหลับตาท าสมาธิแต่แท้จริงแล้วคือตั้งใจฟังเสียงอ่านตาราของ เด็กทั้งสามระดับที่น้าเสียงต่างกัน
ลู่เฉินยิ้มถาม “หนิงจี๋ รู ้หรือไม่ว่าอะไรคือเสียงท่องต าราดัง กังวาน? (ซูเซิงหลางหลาง)”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“นักเรียน นักเรียน ค าว่าเรียนย่อมมาจากการอ่านตัวอักษรทีละ ค า”
ลู่เฉินเอนหลังพิงหน้าต่าง สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ อธิบายด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง “ความหมายเดิมก็คือเสียงเหล็กและหิน กระทบกัน เสียงใสดุจระฆัง เสียงดังดั่งต้นอู๋ถงเดียวดาย หลางหลาง เสียงเหล็กกระทบหิน เหยียนเหยียนคือหินบนยอดเขา คนรุ่นหลังรู ้สึก
ว่าคาซ ้อนนี้มีความหมายแฝงที่งดงามมาก ดังนั้นจึงนามาใช ้บรรยาย เสียงอ่านตาราที่ไพเราะ ก็คือเสียงอย่างในตอนนี้นี่แหละ”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!