กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 110

บ่าของเฉินผิงอันพลันหนักอึ้ง ลมหายใจก็ชะงักค้างตามไปด้วย ปราณกระบี่เส้นที่เดิมทีควรจะพุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณเหมือนลูกธนูที่ขึ้นสายง้าวแล้ว จะไม่ปล่อยย่อมไม่ได้ แต่หลังจากถูกคนตบลงมาบนบ่ากลับเหมือนงูหลามที่ออกจากภูเขา แล้วเจอเข้ากับเจียวแม่น้ำที่ขวางทางไป พลังอำนาจที่ก่อนหน้านี้พร้อมทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองก็ย่อมต้องหยุดชะงักลง เลือกที่จะวางกำลังพลเตรียมพร้อมอยู่นิ่งๆ ก่อนชั่วคราว

“หยุดก่อนๆ” ชายฉกรรจ์สวมงอบยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาโอบไหล่เด็กหนุ่มพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนในครอบครัวเดียวกันที่รักและปรองดองกันดี รบราฆ่าฟันกันแบบนี้ สมควรแล้วหรือไง”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ชายฉกรรจ์สวมงอบที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับคลี่ยิ้มให้เขา “เชื่อข้าเถอะ ข้าคืออาเหลียงไง”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “จะฟังเจ้าชั่วคราว”

อาเหลียงเพียงแค่มองจูเหอปราดหนึ่ง ทว่าจูลู่เขากลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง เพียงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ปราณกระบี่ที่มีค่าขนาดนี้ เอามาใช้ฆ่าจูเหอคนเดียว เหยียบย่ำสมบัติสวรรค์เกินไปแล้ว เจ้าไม่เสียดาย แต่ข้านี่แหละที่เสียดายแทนเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่…ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องที่ทำลายบรรยากาศพวกนี้แล้ว สรุปคือ ใจที่มีคุณธรรมของข้าอาเหลียงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ วิธีโคจรลมปราณ ‘สิบแปดหยุด’ นี้ถือว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน”

เดิมทีเฉินผิงอันอยู่ในท่าเตรียมเก็บสองนิ้วที่ประกบกันกลับมา แต่เวลานี้อาเหลียงปล่อยมือจากไหล่ของเด็กหนุ่ม ถอยหลังหนึ่งก้าว ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “ท่านี้ไม่มีมาดของยอดฝีมือเอาเสียเลย ข้าจะสอนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจให้แก่เจ้า”

“ยืนให้นิ่ง!” หลังจากตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ชายฉกรรจ์สวมงอบก็งอนิ้วเขกลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนึ่งที จากนั้นนิ้วมือของเขาก้แตะลงบนหัวใจของเด็กหนุ่มเจ็ดแปดครั้งรวดเร็วราวกับบิน ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอภินิหารของตระกูลเซียนที่เหนือชั้นกว่ารวมเสียงเป็นเส้นอะไรนั่นมากนัก ทำให้เหนือทะเลสาบหัวใจของเด็กหนุ่มมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อเป็นเสียงในหัวใจที่ดังต่อเนื่อง “จำจุดเริ่มต้นของปราณขุมนี้ที่อยู่ในร่างให้ดี จำชื่อและเส้นทางการโคจรของช่องลมปราณทั้งหมดให้ดี ลมปราณดั่งเส้นทางมังกรที่ทอดตัวยาว จุดเริ่มต้นอยู่ที่บรรพบุรุษแห่งหมื่นขุนเขา จุดนี้คือช่องลมปราณลำดับต้นในการบำรุงกระบี่ของโลก จุดนี้คือการหยุดครั้งที่หนึ่ง ผ่านสามเขาหกด่านไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงช่องโพรงฝูจีก็คือหยุดที่สอง จากนั้นก็ถ่านหกโพรงเก้าถ้ำไปอย่างรวดเร็ว มาถึงจุดนี้คือช่องฉุนหยาง คือหยุดที่สาม…จุดนี้คือหยุดสุดท้าย สรุปคือสิบแปดหยุด ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้แตกต่างจากวิถีการพูดในปัจจุบันไปมาก นั่นคือเลือดเนื้อและจิตใจที่ล้ำค่าซึ่งผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนต้องบุกฝ่าขวากหนาม จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะได้มันมา เจ้าต้องจำให้แม่น!”

สุดท้ายอาเหลียงถามว่า “จำได้ขึ้นใจหรือยัง?”

หน้าผากเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดพราย “จำได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”

อาเหลียงกล่าวยิ้มๆ “พอประมาณแล้ว วันหน้าหากไปชนอะไรหัวแตกเลือดไหลก็ไม่ต้องกลัว นี่คือเส้นทางที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต้องเดิน ในกาลข้างหน้ารอให้คุ้นชินกับเส้นทางแล้ว เจ้าสามารถทดลองโคจรลมปราณช้าๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของสิบแปดหยุด อืม นี่คือความรู้ที่ข้าอาเหลียงใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเอง มีคนนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด เอ่ยชมข้าสุดฤทธิ์สุดเดช บอกว่าลำพังแค่จุดนี้ก็สามารถเพิ่มระดับความสูงของวิถีกระบี่ให้สูงขึ้นได้เยอะมาก ฮ่าๆ ทำเอาข้าขัดเขินไม่น้อยเลย”

เฉินผิงอันพลันรู้สึกว่าสิบแปดหยุดอะไรนี่ไม่น่าจะดีไปกว่าตำราหมัดเขย่าขุนเขาสักเท่าไหร่

ดูเหมือนอาเหลียงจะมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าดูเหมือนคนขี้โกหกที่ชอบพูดจาเหลวไหลหรือ? ชั่วชีวิตนี้ข้าอาเหลียงยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือการคุยโว!”

จูเหอฝืนดึงสภาพจิตใจของตัวเองออกมาจากปลักโคลนได้ในที่สุด แต่แขนขาทั้งสี่กลับแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม แค่ขยับก็ตาย นี่คือความคิดหนึ่งเดียวในสมองของจูเหอ นี่คือภัยคุกคามอย่างไร้รูปลักษณ์ที่ชายฉกรรจ์สวมงอบนำมา

หากคนที่พกดาบซึ่งห้อยน้ำเต้าสะดุดตาไว้ที่เอวเป็นสหายกับเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่เหมือนยอดฝีมือ

แต่เมื่อเจ้าหมอนี่กลายมาเป็นศัตรูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้า เหงื่อเย็นๆ กลับหลั่งลงมาตามสันหลังของจูเหอ ขวัญแทบหนีกระเจิดกระเจิงอย่างแท้จริง

จูเหอที่ห่างออกไปไกลไม่อาจรักษาสภาพจิตใจเอาไว้ได้ ส่วนจูลู่ที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินแค่เสียงพึมพำที่เฉินผิงอันพูดอยู่กับตัวเอง

อาเหลียงจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันอีกครั้ง “เรือน้อยล่องผ่านเทือกเขาใหญ่นับหมื่น การโคจรลมปราณทะยานไกลร้อยลี้ พันลี้ หมื่นลี้ในเสี้ยววินาที เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่หากสามารถเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า เหมือนเนินเขาที่สะสมดินนานนับร้อยปีก็ยังไม่เพิ่มความสูงขึ้นมาแม้แต่เสี้ยว มหาสมุทรสั่งสมน้ำหนึ่งพันปี ผิวน้ำกลับไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย นั่นจะดียิ่งกว่า! การโคจรลมปราณในวันหน้า สามารถตั้งใจฝึกฝนบนเส้นทางสายนี้โดยเฉพาะ ทำให้ได้ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่นอนหลับก็ยังสามารถโคจรได้เองโดยอัตโนมัติ”

เฉินผิงอันสงสัย “หลังจากหลับไปแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรจะโคจรสิบแปดหยุดนี่หรือเปล่า?”

อาเหลียงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เอ่ยยิ้มๆ “ดำเนินถึงที่น้ำแห้ง นั่งมองเมฆปกนภา ถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้คำตอบได้เอง”

อาเหลียงนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ยาว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะนั่งลงไป สีหน้ากลับเหยเกเล็กน้อย

เฉินผิงอันกุมขมับ

อาเหลียงยกก้นขึ้นอย่างไม่กระโตกกระตาก ใช้มือปัดพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่ติดอยู่บนก้นทิ้งไป ย้ายตำแหน่งนั่งใหม่ กางแขนสองข้างวางบนราวระเบียง พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง และในที่สุดก็มองจูลู่เต็มตา “นอกจากเจ้าและบิดาของเจ้าต้องคืนดีวีรบุรุษเม็ดนั้นของเขาเจินอู่และ “ตำราปราณม่วง” คืนให้ข้าแล้ว ยังต้องเอายันต์ที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลี่ปึกนั้นมาให้ข้าด้วย แต่ว่ายันต์พวกนี้ช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น จู่ลู่ ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าเลือก เป็นเจ้าที่มีชีวิตรอดออกไปจากจุดพักม้า หรือบิดาของเจ้า?”

ไม่รอให้จูลู่พูด จูเหอก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขอผู้อาวุโสอาเหลียงโปรดปล่อยจูลู่ไป ข้ายินดีฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิด ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องให้ดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสต้องแปดเปื้อนด้วย”

อาเหลียงเพียงแค่ยิ้มตาหยีมองจูลู่ ไม่สนใจจูเหอที่ควักยาและยันต์กระดาษสีเหลืองเลยแม้แต่น้อย “จูลู่ เจ้าหวังให้ใครมีชีวิตรอด?”

เด็กสาวร้องไห้จนกลายเป็นคนน้ำตาไปแล้ว ได้แต่ใช้มืออุดปากของตัวเองอย่างแรง ไม่กล้าร้องออกเสียง

มืออีกข้างหนึ่งนางกำไว้ข้างหลังแน่น เล็บจิกลงกลางฝ่ามือจนเลือดสดไหลโชก

จูเหอที่อยู่ห่างออกไปคุกเข่าลงบนพื้นระเบียงอย่างแรง ก่อนจะโขกหัวพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสอาเหลียง!”

อาเหลียงหันมามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าคิดว่ายังไง? หรือจะให้ปล่อยไปทั้งคู่? หากเจ้ากลัวว่าจูเหอจะแก้แค้น ข้าสามารถทำลายตบะและวรยุทธ์ของเขา หากกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าสามารถทำลายสะพานชีวิตของจูเหอได้ง่ายๆ อืม หรือจะเป็นของจูลู่ก็ได้”

เด็กหนุ่มไม่มองจูเหอ มองแต่จูลู่ “ข้าเคยบอกว่า เจ้าต้องตาย”

จูเหอพลันเงยหน้าขึ้น คำรามเดือดดาล “เฉินผิงอัน จูลู่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!”

เด็กหนุ่มที่อารมณ์สงบนิ่งมาโดยตลอด พอได้ยินประโยคนี้จู่ๆ กลับโมโหจนหน้าเขียว

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก้าวเร็วๆ ขึ้นหน้าหลายก้าว เตรียมจะออกหมัดต่อยหน้าอกของจูลู่ให้แหลก ลมปราณของนางในเวลานี้สับสนยุ่งเหยิง ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กสาวทั่วไปที่ร่างกายและจิตวิญญาณอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอปล่อยหมัดออกไป เขากลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝ่ามืออย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง และทิศทางก็เอนขึ้นด้านบน ตบลงบนซีกแก้มจูลู่อย่างแรง

อาเหลียงกดไหล่ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “พอได้แล้ว”

อาเหลียงหัวเราะเสียงเบา “การลงโทษบางอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าตายมากนัก”

เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ออกอาการเหม่อลอย หลังจากนั้นอาเหลียงจัดการกับสองพ่อลูกอย่างไร พวกเขาไปจากจุดพักม้าเจิ่นโถวอย่างไร หลังจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน เด็กหนุ่มไม่รู้เลยสักเรื่องเดียว

เด็กหนุ่มพลันเงยหน้าถาม “อาเหลียง มีเหล้าไหม?”

อาเหลียงหัวเราะ “เหล้าน่ะมี น้ำเต้าใบเล็กของข้าสามารถบรรจุเหล้านักนับพันจิน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า คนคนหนึ่งเวลาที่เสียใจ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด เพราะจะกลายมาเป็นผีขี้เหล้าได้ง่าย แต่เวลาที่อารมณ์ดี สามารถดื่มเหล้าได้ ไม่แน่ว่าดื่มไปดื่มมา อาจจะกลายเป็นเซียนสุราก็ได้”

……

นอกประตูใหญ่ของจุดพักม้าเจิ่นโถว

หลินโส่วอียืนอยู่บนถนนเพียงลำพัง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมอาเหลียงถึงทิ้งตนไว้ข้างนอก อีกฝ่ายบอกแค่ว่าให้เขารอคนคนหนึ่งปรากฏตัว แล้วให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะก้าวข้ามธรณีประตูของจุดพักม้ามาหรือไม่

แม้จะน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนหลังตรงอกตั้งดุจต้นสนตระหง่านเดียวดายบนยอดเขา

อาศัยโคมไฟสีแดงใบใหญ่ที่แขวนไว้หน้าประตูจุดพักม้าเจิ่นโถว เด็กหนุ่มหยิบตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ของลัทธิเต๋าเล่มนั้นออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก เริ่มไล่อ่านตัวอักษรเข้าใจยากที่เหมือนคำว่าลมตาบอดฝนขมฝาด ติดขัดไม่ลื่นไหลอย่างแท้จริง

แต่ทุกครั้งที่อ่านไปถึงจุดที่ตรงใจ หรือบรรลุความหมายที่แท้จริงของประโยคเหล่านั้น เขากลับรู้สึกเหมือนท้องฟ้าสดใสหลังฝนตก ดั่งฟ้าครามยามที่เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยหายไป ทำให้เด็กหนุ่มชื่นชอบปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด เด็กชายผู้ที่ชาติกำเนิดเต็มไปด้วยอุปสรรคจึงสร้างนิสัยเย็นชาไม่ยินดีแบ่งปันความปิติยินดีจากใจจริงเช่นนี้กับผู้ใด

เด็กหนุ่มไม่กลัวที่จะใช้ความคิดที่เลวร้ายที่สุดไปประเมินคนและเรื่องราวบนโลกใบนี้

สตรีแต่งงานแล้วเดินมาหยุดอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มไปประมาณเจ็ดแปดก้าว นางคลี่ยิ้มบางเบาพลางกล่าวว่า “สวัสดีหลินโส่วอี ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมน้ำพวกเราได้พบกันแล้วครั้งหนึ่ง ข้าอยู่บนเรือ เจ้าอยู่บนฝั่ง สถานะที่แท้จริงของข้าคือไท่ซ่างจ่างเหล่า (คำเรียกผู้อาวุโสที่คุมอำนาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง) แห่งตำหนักฉางชุนต้าหลี ไม่ได้ชมตัวเอง แต่ข้าก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของชาวบ้านร้านตลาดตัวจริงเสียงจริง เพียงแค่สะบัดปลายแขนเสื้อก็สามารถเรียกลมเรียกฝน เพียงกระทืบเท้าแผ่นดินและภูเขาก็สั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญคาถาหนึ่งฟ้ามือห้าอสนี เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถสยบมารปราบปีศาจ…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!