ดูเหมือนว่าอาเหลียงจะยังไม่ค่อยวางใจจึงมองไปยังมุมหนึ่ง แล้วเอ่ยสั่งความอีกว่า “แม้เจ้าจะเป็นเทพอินที่ฝึกตนประสบความสำเร็จองค์หนึ่ง แต่ต้าหลีตอนนี้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน เมืองใหญ่และหน้าด่านสำคัญทุกแห่งมักจะมีปราณหยางร้อนแรงดุเดือด ซึ่งมีพลังสามารถพิชิตวัตถุหยางประเภทภูตผีอย่างพวกเจ้าได้ตั้งแต่เกิด เจ้าสามารถให้หลินโส่วอีทดลองหลอมยันต์พลังหยางสองสามแผ่นที่อยู่ในยันต์ปึกนั้นเพื่อนำมาเป็นเอกสารผ่านด่านของเจ้าได้”
หลังจากที่เสียงของอาเหลียงดังขึ้น ห่างไปไม่ไกลบนระเบียงก็มีเงาดำกลุ่มหนึ่งปรากฏ คนผู้นี้เผยกายขึ้นอย่างเชื่องช้าภายใต้สายตาของเฉินผิงอันสี่คน ควันดำล้อมวนไปทั่วร่างของเขา นอกจากศีรษะที่มองเห็นเครื่องหน้าทั้งห้า ดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีขาวหิมะน่าพรั่นพรึงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เรือนกายสูงใหญ่กลับเลือนรางคล้ายเจียวหลงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอก เห็นเพียงหัวไม่เห็นหาง
เทพหยางที่อาเหลียงเรียกพยักหน้ารับ
อาเหลียงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอมอบเด็กพวกนี้ให้พวกเจ้า อย่างน้อยต้องคุ้มครองพวกเขาให้ไปถึงด่านเหย่ฟูต้าหลี หลังจากนั้นก็ดูที่โชควาสนาของพวกเขาเองแล้วกัน จะเอาแต่เป็นแม่ไก่คอยปกป้องลูกเจี๊ยบทั้งฝูงอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง คำประจบยกยอของคนนับพัน ไม่สู้คำสัญญาจริงจังของคนคนเดียว ข้าเชื่อใจเจ้า”
เทพหยินตนนั้นเปิดปากถามเสียงแหบพร่าด้วยภาษาท้องถิ่นของเมือง “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงยอมเชื่อวัตถุหยินที่มีที่มาไม่แน่ชัดตนหนึ่ง?”
อาเหลียงหัวเราะขัน ตอบตามตรงว่า “ก็ดูจากหน้าตาเจ้าไง หน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหน้าตาเย็นชาแต่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นธรรม”
เทพหยินลังเลอยู่ชั่วครู่ “เพราะเหมือนท่านผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ?”
ประโยคนี้ทำให้อาเหลียงสะอึก แทบพูดไม่ออก “เจ้าตะพาบคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี่…พูดจาตลกดีนะ”
วัตถุหยินยิ้มกว้าง ไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่ไหวไปหลบอยู่ด้านหลังหลี่เป่าผิงนานแล้ว ตอนนี้กำลังกระตุกชายแขนเสื้อของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง กล่าวอย่างหวาดผวา “เป่าผิง เป่าผิง ผี ผีจริงๆ ด้วย”
สีหน้าหลินโส่วอีเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่พยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มกำลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้สายตาที่ซอกแซกเกินไปของตนไปทำให้เทพหยินตนนั้นขุ่นเคือง ใน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ได้อธิบายคร่าวๆ ว่าการที่วัตถุหยินกลายเป็นเทพนั้นมีวิธีการหลากหลาย หนึ่งคือต้องอาศัยความเต็มใจในการจุดธูปบูชาของผู้มีจิตศรัทธา สองคือฝากชีวิตไว้ในจิตวิญญาณของสำนักการทหาร สามคือฝึกตนเหมือนกับผู้ฝึกตน เส้นทางสายนี้เดินได้ยากลำบากมากที่สุด แต่หากทำสำเร็จ จิตวิญญาณของเทพหยินก็จะมั่นคงมากที่สุด ต่อให้เป็นแสงอาทิตย์ร้อนแรง พายุลมกรดพัดใส่หรืออาบไล้อยู่ท่ามกลางเสียงสวดภาษาสันสกฤต ก็ล้วนสามารถใช้มาเป็นทางลัดในการขัดเกลาตบะของตัวเองได้
เทพหยินตนนั้นมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองไปยังหลี่ไหวจอมขี้ขลาดที่หลบอยู่ด้านหลังสุด
หลี่ไหวหน้าบู้เหมือนจะร้องไห้ “เจ้าอย่าเอาแต่มองข้าสิ มองหลินโส่วอี มองเฉินผิงอัน หรือไม่มองอาเหลียงก็ได้”
เทพหยินประหลาดที่ติดตามมาตลอดทาง แต่กลับวางตัวอย่างรู้อะไรควรไม่ควรค่อยๆ สลายร่างไป ระเบียงทาเดินที่อึมครึมจึงกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
อาเหลียงทอดสายตามองไกลไปทางทิศเหนือ ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขาหัวเราะหึหึ “มีเรื่องไม่คาดฝันนิดหน่อย ดังนั้นพวกเราจึงยังมีเวลาพูดคุยกัน ทุกคนมีอะไรอยากจะพูดก็จงรีบพูด ประจบสอพลอ ยกยอปอปั้น สรรเสริญเอาใจ พูดให้เต็มที่ วันหน้ากว่าจะพบกันใหม่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน”
หลี่เป่าผิงเปิดปากเป็นคนแรก “อาเหลียง หากดาบเล่มนั้นพังแล้วก็ไม่ต้องคืนให้ข้า เพราะข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน!”
อาเหลียงหัวเราะเปี่ยมสุข ชูนิ้วโป้งให้แม่นางน้อย “คำพูดอบอุ่นหัวใจเช่นนี้ ข้าชอบ! แต่ยังไงก็ต้องคืนยันต์มงคลเล่มนั้นให้เจ้าในสภาพเดิม วางใจได้เลย”
หลินโส่วอีถามอย่างจริงจัง “อาเหลียง วันหน้าการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าต้องให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเดียว หรือนักพรตสำนักการทหารที่เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือไม่?”
อาเหลียงส่ายหน้าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ต้อง คนบางคนเหมาะที่จะทำเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นข้า แต่บางคนก็ไม่เหมาะ ยกตัวอย่างเช่นเจ้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้าหลินโส่วอีต้องทุ่มเทอยู่กับคำว่าลึกซึ้งเท่านั้น อย่าไปสิ้นเปลืองแรงกายใจอยู่กับการฝึกหลายอย่างปะปนกัน”
ชายฉกรรจ์ที่ไม่มีงอบสวมอยู่บนหัวแล้วพูดประโยคนี้อย่างจริงจังเป็นการเป็นงาน
เด็กหนุ่มเย็นชาผู้มีปณิธานยาวไกลพยักหน้ารับเบาๆ แสดงว่าตนเข้าใจแล้ว
หลี่ไหวพึมพำว่าอาเหลียงเจ้าไม่โม้สักวันคงรู้สึกไม่สบายตัวสินะ เด็กชายเตรียมจะก้าวออกมาหนึ่งก้าว คิดจะขยับเข้าไปพูดใกล้ๆ อาเหลียง แต่กลับถูกวัตถุหยินที่ปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ตนนั้นใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่หนักๆ “อย่าเดินไปไหนมั่วซั่ว ผู้อาวุโสอาเหลียงเขา…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากท่านผู้อาวุโสไม่ได้จงใจเว้นพื้นที่ไว้ให้กับพวกเรา ลำพังเพียงแค่พลังอำนาจจากทั้งร่างที่เขารวบรวมขึ้นมาก็สามารถทำให้วัตถุหยินอย่างข้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่จั้งร่างแหลกวิญญาณม้วยได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ศึกใหญ่กำลังจะระเบิดขึ้น จิตของผู้อาวุโสอาเหลียงอยู่ห่างไปทางทิศเหนือไกลนับล้านลี้ ไม่อาจแบ่งสมาธิมาดูแลพวกเราได้”
หลี่ไหวอึ้งงัน คงจะเป็นเพราะคำพูดประโยคนี้เขย่าขวัญเกินจริงไปมาก เป็นเหตุให้เด็กชายไม่รู้สึกหวาดกลัววัตถุหยินที่อยู่ข้างกายสักเท่าไหร่แล้ว “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือไง เขาคืออาเหลียงนะ? ขนาดข้ายังไล่ทุบตีเขาได้ คงไม่ใช่ว่าเจ้าติดเงินอาเหลียงอยู่หลายตังค์หรอกนะ?”
รอยยิ้มของวัตถุหยินที่เกือบจะสร้างร่างทองขึ้นมาได้แข็งค้างอยู่บนหน้า ส่งยิ้มไม่จริงจังให้กับเจ้าเต่าน้อยที่ปากไม่มีหูรูด “เจ้าโตมาได้ขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
อาเหลียงเก็บกระแสจิตบางส่วนกลับมาอย่างเชื่องช้า แล้วหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี พลันรู้สึกว่าต่อให้การพบเจอที่เรียกไม่ได้ว่าท่องยุทธภพ เป็นเพียงการรวมตัวกันในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไร้ซึ่งแก่นสารใดๆ ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ชายที่พยายามระงับพลังอำนาจที่ไหลพรูสู่ภายนอกไว้สุดกำลังกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ พอสมควรแล้ว”
พลังอำนาจของเขาเพิ่มพรวดไพศาล ประดุจน้ำตกที่พุ่งตรงสู่เบื้องล่าง จนเขาไม่อาจปกปิดอำพรางมันได้ ก่อนหน้านี้ที่ตั้งใจหาคนมาทำงอบไม้ไผ่สานให้โดยเฉพาะก็เพื่อให้มันสามารถระงับพลังอำนาจที่ไหลเชี่ยวกรากพุ่งทะลักทลายขุมนี้เอาไว้ได้
ผู้ฝึกลมปราณบนโลก มีแต่จะเจ็บใจที่ตัวเองมีอาวุธหรือสมบัติอาคมซึ่งจะช่วยเพิ่มตบะไม่มากพอ
แต่อาเหลียงกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองยาวเหยียดแห่งนั้น เขาไม่มีสิ่งใดให้ทุกข์ใจหรือเป็นกังวล ที่นั่นมีปณิธานปราณกระบี่ที่สั่งสมตกตะกอนมานานนับหมื่นปี ช่วยระงับจิงชี่เสินที่ดุร้ายเหี้ยมหาญอย่างถึงที่สุดบนร่างของเขาลงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!