กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 133

ร่วมเดินทาง
ตามกฎที่หร่วนฉงตั้งไว้ เมื่อผู้ฝึกตนอิสระจะข้ามผ่านเขตแดนเข้ามา หากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการของต้าหลีเป็นพิเศษ ขอแค่ผ่านท้องฟ้าอันเป็นที่ตั้งเดิมของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ล้วนห้ามทะยานกลางอากาศหรือควบคุมกระบี่บินให้บินผ่านทั้งสิ้น หลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกลุ่มนั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตคนแล้วคนเล่า ตอนนี้กองกำลังบนภูเขาทั้งหลายของต้าหลีต่างก็ต้องยอมรับกฎระเบียบที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลนี้ไปโดยปริยาย

หลิวป้าเฉียวนักพรตแห่งสวนลมฟ้าลดระดับกระบี่บินลงนอกเขต จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็โดยสารรถม้าหรูหราที่ให้เฉพาะนักพรตใช้เร่งรีบเดินทางเข้าไปในอำเภอ ไปเยือนโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งเมืองหลงเหว่ยก่อตั้ง ค้นพบว่าสหายสนิทอย่างเฉินซงเฟิงกำลังสอนหนังสือให้กับเด็กประถมหลายสิบคนด้วยตัวเอง หลังมองเห็นหลิวป้าเฉียวยืนอยู่นอกหน้าต่าง เฉินซงเฟิงก็เตรียมจะหาคนมาสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆ แทนตัวเอง หลิวป้าเฉียวรีบโบกไม้โบกมือ บอกเป็นนัยว่าตนรอได้

ครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อเหล่าเด็กนักเรียนทำความเคารพ อาจารย์เฉินซงเฟิงก็รีบเดินออกมาจากห้องเรียน เดินเคียงไหล่ไปพร้อมกับหลิวป้าเฉียว พอเห็นกระบี่ที่อีกฝ่ายพกมาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “นี่ก็คือกระบี่อาญาสิทธิ์อันเลื่องชื่อของลัทธิเต๋า ‘ยันต์ศักดิ์สิทธิ์’ ที่กักขังไว้ในบ่อของเมืองหลวงต้าหลี?”

หลิวป้าเฉียวค้อนตากลับ ยกมือสองข้างขึ้นกุมท้ายทอย “เจ้าสารเลวซ่งจ่างจิ้ง บอกเองว่าจะยกกระบี่อาญาสิทธิ์ให้กับข้า รอให้ข้าไปดึงมันออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทางที่ข้าเดินทางขึ้นเหนือล้วนมีแต่คนพูดว่ามีคนดึงเอากระบี่อาญาสิทธิ์ไปได้แล้ว ข้ายังไม่เชื่อ นึกว่าเป็นวิธีตบตาตามตำรายุทธพิชัยที่ซ่งจ่างจิ้งเลือกมาใช้ จงใจช่วยปูทางให้กับข้า ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้าไปถึงเมืองหลวงกลับดีนัก ดันมีผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่งนามว่าหยางฮวาชิงตัดหน้าข้าไปก่อนแล้ว!”

ยิ่งพูดหลิวป้าเฉียวก็ยิ่งโมโห “ข้าไปหาซ่งจ่างจิ้งเพื่อขอคำอธิบาย เจ้ารู้ไหมว่าเป็นยังไง ซ่งจ่างจิ้งแค่ให้คนเอาความมาบอกข้าว่า หากมีความสามารถก็ให้ข้าไปหาหยางฮวาแล้วแย่งกระบี่อาญาสิทธิ์กลับคืนมาเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางคนไหนหน้าไม่อายอย่างนี้มาก่อน! ภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ บอกว่าตอนนี้สตรีผู้นั้นเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูพวกเจ้า รอเสวยสุขจากควันธูปและการกราบไหว้ของผู้คนแล้ว นี่ก็คือชะตาชีวิตแท้ๆ”

เฉินซงเฟิงอึ้งตะลึง “เจ้ามาอำเภอหลงเฉวียนครั้งนี้ก็เพราะคิดจะชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาจากมือเทพวารีผู้นั้นหรือ?”

หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนอย่างนั้นหรือ?!”

เฉินซงเฟิงยิ่งสงสัย “ไม่ได้มาพบเทพวารีที่เป็นสตรีผู้นั้น แล้วเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลงเฉวียน?”

หลิวป้าเฉียวถอนหายใจ “ก็แค่ระหว่างที่เดินทางกลับสวนลมฟ้าใช้เส้นทางที่อ้อมเล็กน้อยเลยมาถึงที่นี่ ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอำเภอหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่สกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของพวกเจ้ามาเปิดโรงเรียนอยู่ที่นี่จึงคิดจะมาพบหน้าเจ้าสักครั้ง ไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องหยางฮวาหรือชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นกลับคืนไปจริงๆ”

เฉินซงเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ “ตอนนี้ข้ามาสอนหนังสือคอยไขข้อข้องใจให้กับพวกเด็กประถมอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ยังปรับตัวไม่ได้สักเท่าไหร่ ร่ำๆ จะตบโต๊ะสะบัดแขนเดินจากไปอยู่ร่อมร่อ แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว พร่ำบอกตัวเองเป็นประจำว่า ถือเป็นการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง”

หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ “สงบใจสั่งสอนความรู้ เป็นสิ่งที่ดีมาก ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแถวแถบเมืองหงจู๋ตลอดไปจนเมืองหลวงต้าหลี เจ้าได้ข่าวบ้างไหม?”

เฉินซงเฟิงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องได้ข่าวมาสารพัด แต่ฝ่ายในของตระกูลกลับพูดกันไปคนละทิศคนละทาง ข่าววงในที่ได้มาจากช่องทางแตกต่างกันล้วนขัดแย้งกันเอง สุดท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”

หลิวป้าเฉียวหัวเราะหึหึ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี เจ้าอยากรู้ความจริงไหม?”

เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยาก ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนสักหน่อย ไม่สนใจเรื่องชีวิตอมตะของพวกเจ้าสักเท่าไหร่หรอก”

ก่อนหน้านี้เฉินซงเฟิงก็เคยแบกหีบหนังสือเดินทางไกล ติดตามนักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาสูงไปแต่งกาพย์กลอนไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอ แต่ครานั้นที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินขึ้นเขา สุดท้ายพลังเท้าและพลังกายของเขากลับสู้เด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่งไม่ได้ เป็นเหตุให้ถูกเฉินตุ้นสลัดทิ้ง

อุตส่าห์แสร้งทำเป็นอุบเรื่องสำคัญเอาไว้ แต่ไม่มีคนเออออรับช่วงต่อ หลิวป้าเฉียวย่อมไม่สบอารมณ์ จึงพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายเสียเลย “อายุยังน้อย แต่ทำตัวเป็นตาแก่ สมควรแล้วที่ถูกผู้หญิงอย่างเฉินตุ้ยนั่นดูแคลน”

เฉินซงเฟิงหัวเราะร่า “นี่ๆๆ ตีคนอย่าตบหน้า สะกิดแผลเป็นคนอื่นจะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายได้หรือ?”

หลิวป้าเฉียวกดเสียงลงต่ำทำสีหน้าลึกลับ “เจ้าอยากรู้เรื่องใหญ่เทียมฟ้าน่าตะลึงที่เกี่ยวกับภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”

เฉินซงเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล “ว่ามา!”

หลิวป้าเฉียวพูดหยอก “จุ๊ๆ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่อยากรู้เรื่องนี้กับเขาด้วยหรือ?”

เฉินซงเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า ใคร่ครวญถ้อยคำอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดที่ส่งมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนเกี่ยวข้องกับใต้หล้าแห่งนั้นทั้งสิ้น และความเคลื่อนไหวใดๆ ของสถานที่แห่งนั้นล้วนสามารถตัดสินสถานการณ์ของตลอดทั้งใต้หล้าได้ ต่อให้แจกันสมบัติทวีปของพวกเราถูกกระทบเพียงริ้วคลื่นที่เล็กที่สุด แต่หากพวกเรารู้ไว้ก่อนก็ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เตรียมหาทางรับมือที่ถูกต้องไว้ได้แต่เนิ่นๆ ต่อให้สุดท้ายแล้วจะได้รับผลประโยชน์เพียงน้อยนิดก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”

สำหรับเรื่องนี้หลิวป้าเฉียวไม่มีความสามารถพอให้วิจารณ์ ต่างคนต่างมีสถานะและจุดยืนที่แตกต่าง บางครั้งต่อให้คำปลอบใจของคนอื่นจะน่าฟังแค่ไหน แต่หากเรื่องไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ไม่มีทางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และหลิวป้าเฉียวเองก็ไม่ต้องการเป็นสหายที่ดีแต่พูดเท่านั้น ในใจของผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าผู้นี้ มิตรที่แท้จริงก็คือตอนที่เจ้าเจริญก้าวหน้ามองไม่เห็นเงาของข้าหลิวป้าเฉียว แต่ยามใดที่เจ้ามีปัญหาร้อนใจ ต้องการคนช่วยสนับสนุน ถึงขั้นที่ว่าเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ข้าหลิวป้าเฉียวก็มายืนอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว

หลังจบเรื่อง ปัญหาคลี่คลายแล้ว ไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ และหากข้าหลิวป้าเฉียวตายอยู่ท่ามกลางปัญหาครั้งนี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องละอายใจ

หลิวป้าเฉียวยื่นนิ้วชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสุดของใต้หล้าเรา ซึ่งถือเป็นถิ่นสุดท้ายของผู้ฝึกกระบี่ ภายใต้คำสั่งเรียกรวมตัวของเซียนกระบี่ใหญ่สองท่านในพื้นที่ ผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งทวีปล้วนเร่งรุดเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่เซียนกระบี่เหล่านี้ทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือถ้ำสวรรค์หลีจู เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านกลับถอนการอำพรางลมปราณไปชั่วคราว ถึงได้ทำให้บุรพแจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีโอกาสได้เห็นสุดยอดภาพเหตุการณ์แห่งโลกที่เซียนกระบี่รวมตัวกันดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน”

เฉินซงเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน? นี่ไม่ใช่คำพูดที่ดีสักเท่าไหร่นะ”

หลิวป้าเฉียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่น่าฟังแล้วจะทำไม เจ้าลองคิดดูสิว่ามีคำพูดที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้อีกหรือ? ฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน หญ้าสักต้นไม่เหลือ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามจะตายไป”

เฉินซงเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือกปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความจริงใจโดยเอ่ยความลับหนึ่งออกมา “เฉินตุ้ยเคยบอกว่า ทุกๆ ช่วงหนึ่งร้อยปีจะต้องมีสงครามใหญ่ระเบิดขึ้นใต้กำแพงเมืองแห่งนั้น”

หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว “ดังนั้นข้าถึงอยากจะออกแรงช่วยสักส่วนหนึ่งอย่างไรล่ะ ถอยไปพูดกันอีกก้าว ก็เป็นเพราะมีใจเห็นแก่ตัวอยากจะใช้สงครามมาหล่อเลี้ยงกระบี่ ผลกลับกลายเป็นว่าสวนลมฟ้าส่งกระบี่บินให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่อาจารย์ปู่ไปจนถึงอาจารย์ของข้าและลามไปยันศิษย์พี่ต่างก็พากันด่าข้าซะเละ”

เฉินซงเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

หลิวป้าเฉียวพลันถามขึ้นว่า “เจ้าเด็กที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นยังอยู่ในเมืองเล็กไหม?”

เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนี้ร้ายกาจนักล่ะ ว่ากันว่าในครอบครองภูเขาคนเดียวถึงสี่ลูก หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งราชสำนักต้าหลียังเพิ่งแต่งตั้งเทพภูเขาคนหนึ่งให้เข้ามาพิทักษ์ภูเขาลูกนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ เจ้าถูกชะตากับเขามากไม่ใช่หรือ วันหน้าถ้าพบเจอกันอีกครั้งก็ขอให้เขาเลี้ยงสุราอาหารเจ้าได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!