อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ตั้งท่าระแวดระวัง เพียงแค่คิดไปว่าราชครูต้าหลีกำลังหลอกล่อหาเรื่องสนุกทำ จำเป็ฯต้องระวังไม่ให้ตกลงไปในกับดัก
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้ชุยฉานหยิบมีดขึ้นมาส่งให้เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้ แล้วยืนนิ่งๆ ให้พวกเขากรีดมีดลงไปบนร่างตัวเอง คนทั้งสองก็ยังไม่กล้าลงมือ แม้แต่มีดก็ยังไม่กล้ารับมาด้วยซ้ำ
ในสายตาของเซี่ยเซี่ย การที่เฉินผิงอันไม่แยแสชุยฉานได้นั้น เป็นเพราะเฉินผิงอันไม่รู้อะไร เพราะเขาไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพบนภูเขา ไม่รู้ว่าความหมายแฝงของคำว่าการเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก การพิสูจน์เส้นทางความเป็นอมตะที่แท้จริงมาก่อน
ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีต ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด ราชครูต้าหลี ไม่ว่าจะเลือกเอาตัวตนไหนออกมาก็ล้วนเป็นดั่งขุนเขาสูงตระหง่านที่สามารถกดทับให้คนหายใจไม่ออก
ชุยฉานที่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอสิ้นสภาพนอนหงายอยู่บนม้านั่งตัวยาว เหนื่อยหอบไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง เขายื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“อย่างที่พวกเจ้าเห็น ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่เจอหายนะใหญ่ที่ทำให้ตบะของข้าสูญสิ้น ไม่เหลือแม้แต่แรงจับไก่ แถมยังเดือดร้อนไปยันวัตถุฟางชุ่นของข้าที่ไม่อาจเอาออกมาใช้ได้ กลายเป็นยาจกที่ไม่มีอาวุธติดมือแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นหากพวกเจ้าเคียดแค้นข้า ลงมือตอนนี้คือโอกาสอันดีที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานหันไปมองแผ่นดินต้าหลีที่กางกั้นด้วยภูเขาและสายน้ำนับพันนับหมื่นลี้ ด่าพ่อล่อแม่อย่างคนมีโทสะแต่ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้ “สุขเจ้าเสพ ทุกข์ข้าแบก เจ้านายท่านใหญ่ราชครูต้าหลี อ้อ ยังคงเป็นข้าต่างหากที่เป็นนายท่านใหญ่…”
ชุยฉานสบถด่างึมงำอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ตลอดทางที่เดินทางมานี้ แม้จะไม่อาจกราบไหว้อาจารย์ได้สำเร็จ แต่เมื่ออยู่กับหลี่ไหวนานวันเข้า เวลาด่าคนจึงคล่องปากขึ้นเยอะ แม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้
เด็กหนุ่มเด็กสาวเคยชินกับท่าทางสติหลุดของราชครูต้าหลีแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่คิดว่าสมองชุยฉานมีปัญหา กลับยิ่งรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ
ชุยฉานลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงราวระเบียง แขนสองข้างวางพาดแนวขวางไปบนราว อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้าย อีกคนนั่งอยู่ฝั่งขวาของเขาพอดี
ชุยฉานถอนหายใจ “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าภูเขาสูงเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าแม่น้ำลึกแค่ไหน ก็เลยไม่รู้สึกกลัวข้า นี่มัน…”
ชุยฉานหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะร่า “ถูกต้องแล้ว”
ชุยฉานเอ่ยต่อ “แต่ว่าพวกเจ้าคิดถูกแค่ครึ่งเดียว คนไม่รู้ก็ไม่กลัว แต่สิ่งที่พวกเจ้าสู้เฉินผิงอันไม่ได้ก็คือความซื่อตรง ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องชอบธรรม เมื่อตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งแค่อ่านหนังสือก็กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก แผ่นดินล่มสลาย แบกรับความอัปยศใหญ่หลวง อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแต่ต้องแบกรับความแค้นยิ่งใหญ่ มักจะรู้สึกว่าอนาคตยังยาวไกล เฉินผิงอันกล้าพูดว่าจะฆ่าข้า ก็ฆ่าทันที แต่พวกเจ้าล่ะ ลังเลไม่แน่ใจ อึกๆ อักๆ กลุ้มกังวล ข้าพูดอย่างนี้อาจเหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว เพราะอย่างไรซะข้าก็คือชุยฉาน พวกเจ้าสามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณข้า”
ชุยฉานนวดเอว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อันที่จริงเอวข้าปวดมากเลยล่ะ”
ชุยฉานมองไปทางอวี๋ลู่ “หลังจากนี้พวกเจ้าก็ติดตามข้าอย่างสุดจิตสุดใจเถอะ ตกลงไหม?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “นับตั้งแต่เดินออกมาจากกลุ่มนักโทษลี้ภัย ข้าก็ติดตามใต้เท้าราชครูแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกไม่เลว การเดินทางไกลไปศึกษาต่อครั้งนี้ก็สนุกสนานอย่างมาก เมื่อเทียบกับต้องแสร้งทำเป็นหนอนหนังสืออยู่ในตำหนักบูรพา ฟังคำพูดหัวมังกุท้ายมังกรจากคนทั้งหลายทุกวันแล้ว ก็น่าสนใจกว่ามาก หากเวลาว่างใต้เท้าราชครูสามารถอธิบายปัญหายากๆ ในคัมภีร์ให้ข้าฟังได้ ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตนี้สมบูรณ์แบบแล้ว”
ชุยฉานชี้หน้าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ “คนอย่างเฉินผิงอันนั้นระมัดระวังการกระทำและคำพูด เป็นกบใต้บ่อที่จู่ๆ ก็ได้กระโดดออกมาจากในบ่อน้ำ เห็นอะไรก็ตกอกตกใจไปหมด แต่เจ้าอวี๋ลู่กลับฉลาดเฉลียวลึกล้ำ มีหน้าตาของคนเจ้าเล่ห์ บางครั้งข้าก็อยากจะต่อยใบหน้ายิ้มของเจ้าให้แบนไปเลยจริงๆ”
อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “ข้าเทียบกับเฉินผิงอัน จะดีกว่าเขาสักเท่าไหร่กันเชียว? ก็ยังเป็นกบใต้บ่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ชุยฉานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไฟมั่งคั่งเผาร่าง ความทุกข์ยากมอดดับ คำเตือนที่อริยะมีต่อโลกประโยคนี้มอบให้เจ้าไม่คิดเงิน เอาไปใคร่ครวญดูให้ดี”
อวี๋ลู่ที่อ่านตำราหมื่นเล่มจนคุ้นเคยมานานแล้วบังเกิดความสงสัย “เป็นคำสอนของนักปราชญ์ท่านใดในศาลเจ้าบุ๋น?”
ชุยฉานชี้มาที่ตัวเอง “ข้าไง”
อวี๋ลู่ยิ่งระอาใจมากกว่าเดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!