แต่ในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นโลกมามากมาย แน่นอนว่าต้องมองการณ์ไกล มองเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงได้ดีกว่า เขาอาจจะเห็นภาพที่กองทัพม้าเหล็กบุกลงใต้ ควันดินปืนปะทุสี่ทิศชวนสลดหดหู่ใจมานานแล้ว เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คนที่รวมตัวจอแจจะกลายมาเป็นต้นตอของความเจ็บปวดรวดร้าวในกาลหลัง กลับเป็นขอทานข้างถนนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดต่างหากที่พอได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตจะยิ่งผ่อนคลายมากกว่า ส่วนพวกอันธพาลเกกมะเหรกเกเรก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวกระโดดขึ้นท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวาย ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นขุนนาง ชนชั้นสูง แม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ของแคว้นหวงถิง
เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่าที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนย่อมไม่มีทางเปิดเผยอารมณ์เหล่านี้ออกมาทางใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายอารมณ์สนุกสนานในการเดินเล่นของเด็กหนุ่มและแม่นางน้อย
ผู้เฒ่าพาพวกเขาเลี้ยวซ้ายทีขวาทีเจ็ดแปดตลบ พอเจอร้านหนังสือเก่าแก่ร้านหนึ่งก็ควักเงินตัวเองซื้อหนังสือให้คนทั้งสองหลายเล่ม ผู้เฒ่าเจ้าของร้านคือบัณฑิตตกอันดับที่สอบเคอจวี่ไม่สมใจปรารถนา เวลาปกติเห็นใครก็ไม่ใคร่จะให้ความสนใจ แต่พอเจอกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับกลับเหมือนกับวีรบุรุษที่ได้พบกันเมื่อสาย บวกกับที่ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าสยบให้เขายอมศิโรราบ หนังสือราคายี่สิบตำลึงเงินจึงคิดแค่สิบตำลึงเงินเท่านั้น พอซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาจากประตู เห็นสีหน้าเลื่อมใสของเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “เป็นยังไง เรียนหนังสือยังพอมีประโยชน์ใช่ไหม? วันนี้ช่วยพวกเจ้าประหยัดเงินไปได้แปดกว่าตำลึงเงิน เพราะฉะนั้นถึงมีคำบอกอย่างไรล่ะว่า ในตำราย่อมมีห้องทองคำ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ลดเสียงลง ทำท่าทางลึกลับ “แต่อย่าว่าไปนะ ทางทิศใต้มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ในตระกูลสกุลเฉินที่เป็นชาวขงจื๊อดั้งเดิมมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่ถูกชะตากับข้าเอาเสียเลย ตอนเขายังหนุ่มก็เอาแต่อ่านหนังสือทั้งเช้ากลางวันเย็น อ่านไปได้หลายสิบปี คงจะเพราะศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงแก่น มีวันหนึ่งสามารถอ่านจนเจอห้องทองคำและสาวงามคนหนึ่งจริงๆ”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กลืนน้ำลาย “ห้องทองคำนั่นใหญ่แค่ไหน?”
ส่วนหลี่เป่าผิงกลับถามอย่างใคร่รู้ “แล้วสาวงามคนนั้นงามถึงขนาดไหน?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กทั้งสอง “วันหน้ามีโอกาสก็ไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น ภูเขาสวย น้ำใส ทัศนียภาพงดงามล้วนมีเขียนบรรยายอยู่ในหนังสือก็จริง แต่ก็ไม่สู้ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
หลี่เป่าผิงพลันถาม “อาจารย์เฒ่าเหวินเซิ่ง ทำไมท่านถึงซื้อหนังสือพวกนั้นให้อาจารย์อาน้อยของข้า มันตื้นเขินมากจริงๆ นะ ขนาดข้ากับหลินโส่วอียังสอนได้ นี่ไม่เท่ากับว่าสิ้นเปลืองเงินหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันมากๆ ตำราที่มีความรู้อัดแน่นมากที่สุดในใต้หล้า ต้องเป็นตำราที่อธิบายทฤษฎีที่ลึกซึ้งด้วยภาษาง่ายๆ เหมาะสมกับการนำมาสั่งสอนปวงประชามากที่สุด แล้วรู้หรือไม่ว่าตำราแบบนี้ขายด้วยราคาถูกที่สุด? ยกตัวอย่างเช่นตำราอักษรห้าพันตัวของมรรคาจารย์เต๋าเล่มนั้นที่ขายราคาย่อมเยาว์มาก ขอแค่อยากอ่าน ไม่ว่าใครก็หาซื้อได้ ขอแค่ยินดีอ่าน ไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากในตำราเล่มนั้น”
หลี่เป่าผิงเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ “พิมพ์ไว้มาก บวกกับคนซื้อเยอะล่ะสิถึงได้ถูก”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “เดาถูกครึ่งหนึ่ง หากหลักการในตำราแพงเกินไป ใครจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน? ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อของกินที่ช่วยให้ท้องอิ่มได้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ หากเหล่าอริยะผู้มีคุณธรรมที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้นต้องการถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้กลายเป็นความรู้ของหนึ่งเขตการปกครอง หนึ่งแคว้น หรืออาจถึงขั้นหนึ่งทวีป ตลอดทั้งทั่วหล้า ลูกศิษย์ที่ตัวเองสามารถสั่งสอนได้ด้วยตัวเองจะมีสักกี่คน? ยังไม่สู้เผยแพร่แบบกว้างขวาง นำหลักการความรู้ของตัวเองพิมพ์ลงบนตำรา ธรณีประตูต่ำแล้ว คนที่เดินเข้าไปได้ก็จะมีมากขึ้น ธรณีประตูสูงเกินไป แค่ปีนยังปีนข้ามไม่พ้น สุดท้ายจะมีลูกศิษย์ในนาม ลูกศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจอยู่สักกี่คน?”
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างเป็นกังวล “ทำมรึ? รู้สึกว่าไม่น่าสนใจ? แบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงก็ยังต้องอ่านหนังสือศึกษาเล่าเรียน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าแค่รู้สึกว่าทำแบบนี้เหมือนแย่งอาชีพของชาวบ้านเลย ที่ตรอกฉีหลงของบ้านเกิด ข้ามีร้านค้าสองร้านที่เพื่อนช่วยดูแลให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้กำไรหรือขาดทุน”
ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่าจะนึกถึงเรื่องหยุมหยิมเก่าเก็บอะไรได้ก็ให้ปลงอนิจจัง โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป จะพาพวกเจ้าไปดื่มเหล้า เฉินผิงอันหากอยากกินจริงๆ ก็ลองดื่มได้สักเล็กน้อย เป่าผิงอายุน้อยเกินไปยังดื่มไม่ได้”
ยังเช้าอยู่มาก หอสุราส่วนใหญ่จึงยังไม่เปิดทำการ ยังดีที่ซิ่วไฉเฒ่าเจอร้านสุราร้านหนึ่งตรงมุมเลี้ยวของถนนเส้นหนึ่ง ในร้านค่อนข้างสกปรกเลอะเทอะอยู่บ้าง ยังดีที่คนทั้งสามไม่สนใจในข้อนี้ หากชุยฉาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสามคนอยู่ด้วย เกรงว่าคงต้องขมวดคิ้ว อีกหนึ่งสายตามองแต่ที่สูง อีกคนหนึ่งเป็นโรครักความสะอาด ส่วนอีกคนก็ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางมาดื่มเหล้าในสถานที่แบบนี้แน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าสั่งเหล้าซ่านจิ่ว (ลักษณะคล้ายเหล้าขาว ใช้วิธีหมักดองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน คุณภาพเหมือนกับเหล้าขาวในท้องตลาดทั่วไป แตกต่างกันที่ซ่านจิ่วจะไม่มีบรรจุภัณฑ์ คนซื้อต้องเอาภาชนะมาเอง) มาหนึ่งจินกับถั่วลิสงโรยเกลือหนึ่งจาน เฉินผิงอันยังคงยืนกรานว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจดื่มเหล้า อันที่จริงหลี่เป่าผิงอยากดื่ม แต่มีอาจารย์อาน้อยอยู่ข้างกาย ไหนเลยจะกล้าบอกความต้องการนี้ออกไปจึงได้แต่น้ำลายสอจ้องซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าตาไม่กะพริบ
อยู่กับเฉินผิงอันมานานขนาดนี้ ตั้งแต่หลี่เป่าผิงไปจนถึงหลินโส่วอีและหลี่ไหวล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินมาตลอดทาง สำหรับเรื่องที่ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ อันที่จริงบางครั้งหลี่เป่าผิงก็รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยเข้มงวดเกินไป แต่เห็นแก่หีบหนังสือใบเล็กที่งดงามและรองเท้าสานคู่น้อยที่ทั้งอ่อนนุ่มทั้งแข็งแรงจึงไม่พูดอะไรให้มากความ
หลินโส่วอีก็เนื่องจากเป็นเทพเซียนบนภูเขา ปณิธานยาวไกลจึงไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเฉินผิงอัน เพราะว่ายืนอยู่สูงมองเห็นได้ไกลจึงรู้สึกว่าเรื่องยิบย่อยใต้เปลือกตาเหล่านี้ล้วนไม่มีค่าพอให้เขาเสียสมาธิ ดังนั้นจึงไม่เคยพูดอะไร
ส่วนหลี่ไหวนั้นเป็นประเภทที่เต็มใจพูดทุกเรื่องที่ตัวเองต้องการ น่าเสียดายก็แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ เฉินผิงอันยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ถูกหลี่เป่าผิงกำราบไปก่อนแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปขอศึกษาต่อครั้งนี้จึงไม่เคยมีความแตกแยกไม่ปรองดองปรากฎขึ้น ยังคงรักษาความสมดุลอันมหัศจรรย์เอาไว้ได้ ภายหลังพ่อลูกจูเหอจูลู่จากไป ชุยฉานพาคนอีกสองคนเข้ามาร่วมกลุ่มที่นอกด่านเหย่ฟู ทำให้คนทั้งสี่ยิ่งเหมือนมีศัตรูคนเดียวกัน กลับยิ่งทำให้พวกเขาเกาะกลุ่มเหนียวแน่น สนิทสนมใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าได้แค่ครึ่งจินก็เริ่มเมามาย อาจเป็นเพราะทัศนียภาพเบื้องหน้าสะเทือนอารมณ์ อีกทั้งยังไม่ได้จงใจใช้วิชาอภินิหาร หายากที่จะผ่อนคลายได้แบบนี้ จึงปล่อยให้ตัวเองดื่มเหล้าดับทุกข์ ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเขายากจนจึงต้องหยุดเรียนกลางคัน ภายหลังเปิดร้านเหล้าร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ที่ขนาดพอๆ กับร้านนี้นี่แหละ เขาแต่งภรรยามีบุตรตอนอายุสิบแปดปี จนกระทั่งป่วยตายตอนอายุหกสิบห้าปี เปิดร้านเหล้ามานานเกือบสี่สิบปี ขายสุรามานานเกือบสี่สิบปี”
ซิ่วไฉเฒ่าแกว่งถ้วยเหล้าเบาๆ “ขอแค่ในกระเป๋าข้ามีเงินเหลือ ขอแค่อยากดื่มเหล้าก็จะชอบไปซื้อเหล้าจากที่ร้านของข้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไปไกลแค่ไหนก็ต้องไปให้ได้”
รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าค่อนข้างเศร้าหมอง “แต่สุดท้ายมีวันหนึ่ง ประตูร้านปิดสนิท พอถามเอาจากร้านข้างเคียงถึงได้รู้ว่าเพื่อนของข้าคนนั้นตายแล้ว ในเมื่อร้านเดิมที่ตั้งใจไปเยือนปิดไปแล้ว ข้าจึงได้แต่ไปซื้อเหล้าที่ร้านอื่น นั่นถึงทำให้ข้ารู้ว่าเหล้าที่เขาขายให้ข้า ขายแพงกว่าร้านอื่น”
หลี่เป่าผิงกล่าวขุ่นเคือง “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านเห็นคนอื่นเป็นเพื่อน แต่ดูเหมือนคนอื่นกลับจะไม่เห็นท่านเป็นเพื่อนเลยนะ”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แต่พอผ่านไปอีกหลายปีข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เหล้าที่เขาขายให้ข้าคือเหล้าที่เขาขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรมาหมักด้วยตัวเอง ไม่คิดต้นทุน ทุกอย่างล้วนใช้แต่ของที่ดีที่สุด ขายราคานั้นนับว่าเข้าเนื้อ”
หลี่เป่าผิงอ้าปากกว้าง ในใจของแม่นางน้อยพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ผู้เฒ่าคีบถั่วลิสงเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงในปากแล้วเคี้ยว “ในเวลาสี่สิบปี จากบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง กว่าข้าจะสอบติดได้ตำแหน่งซิ่วไฉไม่ใช่เรื่องง่าย ภายหลัง…ก็มีความสามารถและชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย ทุกครั้งที่เพื่อนคนนั้นพบข้าก็จะเอาแต่ร้องบอกให้ข้าดื่มเหล้า ไม่เคยเรียกร้องขอให้บุตรชายบุตรสาวของเขามาเรียนด้วย ไม่เคยพูดถึงเรื่องจุกจิกในบ้านของตัวเอง เพียงแค่บอกให้ข้าดื่มเยอะๆ ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งของเจ้าเป่าผิงน้อย อยู่ฝั่งตรงข้าม ห่างไกลจากข้าที่สุด แต่พอเงยหน้าก็จะมองเห็นข้าได้ทันที และจะต้องส่งยิ้มโง่งมมาให้ทุกครั้ง”
หลี่เป่าผิงคิดตามแล้วก็เปลี่ยนที่เงียบๆ ขยับมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันแล้วยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันทำหน้าหลอกผีใส่นาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!