บทที่ 203.1 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 203.1 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เฉินผิงอันถูกขัดจังหวะความคิด หลังคืนสติแล้วก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก หันหน้ามาพูดยิ้มๆ “แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านสีขาวเนื้อหยาบ ดูสะอาดเอี่ยมแปลกตาไปจากเดิม “ไม่ค่อยดี? ดียิ่งนักล่ะ คนมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีความหวัง ชีวิตก็คงไร้รสชาติ ทนความลำบากได้ แต่ก็ต้องก็รู้จักหาความสุขใส่ตัว นี่ต่างหากถึงเรียกว่าวีรบุรุษที่แท้จริง ยามที่ยากลำบากอย่าเอาแต่บ่นกับทุกคนที่พบเจอว่าชีวิตข้าลำบากแสนเข็ญยิ่งนัก นั่นไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง เวลาที่เสวยสุขก็จงรับไปอย่างสบายใจ ในเมื่อเป็นวันเวลาดีๆ ที่ช่วงชิงมาได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง แล้วทำไมจะต้องเอาแต่แอบมีความสุขอยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียวด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บางคำพูดหากพูดออกมา ท่านผู้อาวุโสอาจจะไม่ชอบใจนัก แต่นั่นเป็นความรู้สึกในใจข้าจริงๆ ท่านผู้อาวุโสอยากจะฟังหรือไม่? ข้าไม่เคยพูดกับใครเลย ต่อให้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของข้าอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยได้ฟัง”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งยองอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ “อ้อ? เรื่องน่าอเนจอนาถที่เจ้าเจอมาตอนเด็กงั้นรึ? ได้สิ ไหนลองพูดให้ข้าผู้อาวุโสอารมณ์ดีหน่อยสิ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไม่ได้ขุ่นเคือง เขายื่นน้ำเต้าสีชาดมาให้ ผู้เฒ่าโบกมือบอกว่ารังเกียจเหล้าชั้นต่ำ เฉินผิงอันจึงเริ่มพูดเปิดใจช้าๆ “ต่อให้ทุกวันที่ข้าฝึกวิชาหมัดจะต้องร้องโหยหวน แถมยังแอบร้องไห้อยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าจะถูกท่านผู้อาวุโสต่อยจนตาย แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าก็ยังรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดในชีวิตก็คือตอนเด็ก มีครั้งหนึ่งข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพียงลำพัง ข้าจำได้อย่างชัดเจน วันนั้นแดดแรงมาก ข้าแบกตะกร้าใบใหญ่ที่สูงพอๆ กับตัวของข้า ตอนนั้นข้าโลภมาก คิดว่าเมื่อสะพายตะกร้าใบใหญ่ก็จะใส่สมุนไพรไว้ได้เยอะๆ ท่านแม่ข้าก็จะหายป่วยเร็วขึ้น แต่พอเดินไปเดินมา หนังบนไหล่พอถูกเชือกเสียดสีก็ถลอก พอถูกแดดส่อง เหงื่อไหลทับก็ยิ่งปวดแสบปวดร้อน ประเด็นสำคัญก็คือตอนนั้นข้าเพิ่งจะเดินออกจากเมืองเล็ก พอคิดว่าหากต้องเจ็บปวดแบบนี้ไปครึ่งวันหรือทั้งวัน ข้าก็เริ่มมีใจคิดอยากตายแล้ว”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด
เขาไม่ได้หัวเราะเฉินผิงอัน แต่หัวเราะเพราะนึกถึงลูกหลานสกุลชุยที่มีชีวิตสุขสบาย สวมอาภรณ์ผ้าแพร กินอาหารรสเลิศ สืบทอดตำแหน่งขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นตระกูลชนชั้นสูงของแจกันสมบัติทวีป แต่เวลาที่เจ้าลูกหมาพวกนั้นฝึกหมัด เพิ่งจะฝึกยืนนิ่ง แต่ละคนก็ทำท่าเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างรุนแรง กลับไปถึงบ้านตัวเองก็ฟ้องพ่อฟ้องแม่ หรือไม่พอถึงช่วงหน้าหนาว สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกห่อตัวเหมือนบะจ่าง พอต้องไปนั่งเรียนคาบเช้ากลับรู้สึกว่าตัวเองเจอกับความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถึงคืนวันสิ้นปีก็ดีแต่จะออดอ้อนขอเงินอั่งเปาจากผู้อาวุโสในบ้านซองใหญ่ๆ ผู้เฒ่าเห็นแล้วขัดหูขัดตา แต่พวกพี่ๆ น้องๆ วัยเดียวกันกับเขากลับติดกับ ถึงได้พูดกันอย่างไรล่ะว่าเด็กที่ร้องไห้เป็นมักจะมีลูกอมให้กิน
เฉินผิงอันพูดต่อ “ครั้งที่สองคือความหิวโหย ข้าวสารในบ้านเหลือก้นถังแล้ว ของที่ขายได้ก็เอาไปขายหมดแล้ว หิวมาทั้งวัน แต่ก็หน้าบางเกินกว่าจะไปขอร้องคนอื่น จึงเดินไปเดินมาอยู่ในตรอก คิดว่าหากมีใครมาทักข้า ถามข้าว่าอยากกินข้าวไหม ข้าก็จะถือโอกาสไปกินด้วย หน้าหนาวปีนั้นหนาวมากจริงๆ นะ ช่วงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิยังไม่เป็นอะไร เพราะต่อให้บ้านจะยากจนแค่ไหน มีเสื้อผ้าน้อยก็ไม่เป็นไร อีกอย่างยังสามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหาเงินมาได้ ทุกครั้งที่เก็บสมุนไพรก็ยังเก็บเอาผักป่า ผลไม้ป่าติดมือกลับบ้านมาด้วย หรือไม่ก็ไปขอยืมค้อนเหล็กจากเพื่อนบ้าน เอาไปตีหินในแม่น้ำ ปลาน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้หินก็จะถูกแรงสะเทือนมึนงงจนลอยขึ้นมาให้จับ กลับบ้านเอามาตากบนกำแพง ไม่ต้องทาน้ำมันหรือโรยเกลือ แค่ตากให้แห้งก็กินได้แล้ว แถมอร่อยด้วย แต่นั่นเป็นหน้าหนาว ช่วยไม่ได้จริงๆ หากไม่ไปขอคนอื่นก็ต้องหิวตาย จะทำอย่างไรดี ตอนแรกยังหน้าบาง พร่ำบอกกับตัวเองว่า เฉินผิงอัน เจ้ารับปากท่านแม่แล้วว่าวันหน้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี แต่นี่พ่อแม่เพิ่งจะจากไปได้แค่ปีเดียวจะทำตัวไม่ต่างจากขอทานได้อย่างไร? ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงนอนอยู่บนเตียง คิดว่าทนเอาหน่อยเดี๋ยวความหิวก็จะหายไป ไหนเลยจะรู้ว่าหิวก็คือหิว ไม่มีหรอกที่หิวแล้วจะหมดสติ กลับกลายเป็นว่ายิ่งหิวก็ยิ่งมีสติแจ่มชัด ช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากบ้าน เริ่มไปเดินเตร่อยู่ในซอยอีกรอบ มีหลายครั้งที่อยากจะเคาะประตู แต่ก็หดมือกลับไปเหมือนเดิม ให้ตายก็เปิดปากพูดขอร้องใครไม่ได้ ภายหลังข้าจึงบอกกับตัวเองว่า จะเดินจากหน้าตรอกไปถึงท้ายตรอกหนีผิงเป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่มีใครเปิดประตูมาพูดกับข้าว่า ผิงอันน้อย ดึกขนาดนี้แล้วกินข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่กินก็เข้ามากินข้าวเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปเคาะประตูขอร้องคนอื่นจริงๆ แล้ว เพียงแต่ข้าสาบานกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่า โตขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องตอบแทนคนที่ให้ข้าวข้ากินเป็นอย่างดี สุดท้ายข้าจึงเริ่มเดินจากทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปถึงปลายอีกฝั่งที่เป็นบ้านของกู้ช่านก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ พูดอย่างไม่คิดจะเห็นใจกันแม้แต่น้อย “ยังไงล่ะ สุดท้ายไปเคาะประตูบ้านของใครเข้า? เขายอมเปิดรับเจ้าให้เข้าไปกินข้าวที่บ้านไหม?”
เฉินผิงอันกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้ากลับไม่ได้ห่อเหี่ยวสักเท่าไหร่ กลับกันยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คล้ายเพิ่งดื่มเหล้ารสเลิศที่อร่อยที่สุดเข้าไป “ข้าเลยได้แต่เดินร้องไห้กลับบ้าน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว สุดท้ายประตูบ้านด้านหลังมีเสียงแอดดังขึ้น ตอนแรกข้ายังไม่กล้าหันกลับไป แต่มีคนเอ่ยทักข้า ข้าเลยรีบปาดน้ำตา หันหน้ากลับไป เห็นว่าในมือของเพื่อนบ้านถือกระถางไฟใบหนึ่ง ก็คือกระถางไฟใบเล็กที่ผิวด้านนอกทำจากทองแดงมีหูหิ้วทำจากไม้ไผ่ถักน่ะ แบบที่สามารถหิ้วเดินไปมาได้ นางเห็นข้าแล้วก็เหมือนว่าจะแปลกใจมากเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “สวรรค์มีทางออกให้คนเสมอ เจ้าก็เลยได้กินข้าวอิ่มไปหนึ่งมื้อ?”
เฉินผิงอันเช็ดหน้าตัวเองอย่างแรง บนใบหน้ามีแต่น้ำตา แต่เขากลับยิ้มกว้าง “เปล่าสักหน่อย เพื่อนบ้านคนนั้นคิดแล้วก็ถามข้ายิ้มๆ ว่า ผิงอันน้อย เจ้าเข้าไปเก็บสมุนไพรในภูเขาได้ เจ้ารู้จักสมุนไพรจริงๆ หรือ? แน่นอนข้าต้องตอบว่ารู้จัก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้โม้จริงๆ สองปีนั้นข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรทุกๆ สองสามวัน จึงชินทางยิ่งกว่าเดินในตรอกหนีผิงซะอีก นางเลยยิ้ม กวักมือเรียกข้า พูดเสียงดังว่า ‘แบบนั้นก็ดีเลย ผิงอันน้อย เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า ร่างกายข้าทนความหนาวไม่ได้ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสองสามชนิดมาต้มเป็นยาบำรุงร่างกาย แต่คนร้านตระกูลหยางใจดำเกินไป ขายยาแพงเกินไป ข้าซื้อไม่ไหวหรอก ผิงอันน้อยหลังเริ่มฤดูใบไม้ผลิเจ้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะให้เงินเจ้า แต่ราคาอาจจะต่ำสักหน่อย’”
เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “ข้าเลยเดินไปหานาง พูดคุยตกลงกับนาง นางยื่นกระถางไฟส่งมาให้ข้า พอคุยกันเสร็จ นางเห็นว่าข้าไม่ขยับเท้าจึงถามยิ้มๆ ว่า ทำไม ยังไม่ได้กินข้าวเลยคิดจะมาหลอกกินเปล่าๆ งั้นสิ? ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะคิดรวมกับค่ายาสมุนไพร ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ให้เจ้าเข้าประตูบ้านนี้มาหรอก!”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ทอดสายตามองไปไกลๆ “หลังจากที่พ่อแม่ของข้าตายไป สายตาแบบไหนบ้างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คนวัยเดียวกันมักจะด่าว่าข้าเป็นตัวหายนะพิฆาตให้พ่อแม่ของตัวเองตาย ต่อให้ข้าแค่มองพวกเขาเล่นว่าวอยู่ไกลๆ หรือลงน้ำไปจับปลาก็ยังถูกบางคนหยิบหินมาขว้างใส่ และยังมีผู้ใหญ่บางคนที่ชอบด่าข้าว่าลูกไม่มีพ่อ บอกว่าเด็กต่ำตมอย่างข้า ต่อให้ไปเป็นวัวเป็นม้าบ้านคนรวยเขาก็ยังรังเกียจว่าสกปรก ขัดหูขัดตาผู้คนยิ่งกว่าเศษกระเบื้องแตกๆ บนภูเขากระเบื้องเสียอีก แต่วันนั้นที่ผู้หญิงคนนั้นคุยกับข้า บอกข้าว่าต้องจ่ายเงินถึงจะกินข้าวได้ ท่านผู้อาวุโสคงไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าดีใจแค่ไหน ตอนที่เข้าไปกินข้าวในบ้านของนาง น้ำตาข้าไหลเต็มหน้าอย่างไม่เอาไหน นางจึงพูดล้อว่า โอ้โห ผิงอันน้อย ฝีมือทำอาหารของข้าดีเกินไปหรือแย่เกินไปกันแน่เนี่ย ถึงขนาดทำให้คนกินน้ำตาไหลได้? ตอนนั้นข้าได้แต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว พูดว่าอร่อย”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ตอนนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงเพื่อนบ้านคนนั้นอยากช่วยเจ้า? แต่แค่เปลี่ยนมาใช้วิธีที่ดีกว่า”
ดังนั้นตอนที่ผู้เฒ่าเหยาซึ่งถือว่าเป็นอาจารย์สอนเผาเครื่องปั้นของเขาครึ่งตัวเอ่ยประโยคนั้น เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในใต้หล้า
หากเป็นของเจ้าก็คว้าเอาไว้ให้ดี แต่หากไม่ใช่ของเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้มากความ
ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ติดค้างเจ้า แต่หากเจ้าติดค้างคนอื่นก็อย่าทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายหลังเฉินผิงอันก็ยังปฏิบัติต่อหลิวเสี้ยนหยางในแบบเดียวกัน
ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรไม่เหมาะที่จะใช้เป็นแผนในระยะยาว เป็นหลิวเสี้ยนหยางที่สอนเฉินผิงอันว่าควรจะวางกับดักดักสัตว์อย่างไร ควรจะทำธนูอย่างไร ควรจะตกปลาอย่างไร พอไปเป็นช่างปั้นในเตาเผามังกรก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางซึ่งอายุมากกว่าเล็กน้อยที่คอยปกป้องเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันมีชีวิตยากลำบากตั้งแต่เด็กน้อยมาจนเป็นเด็กหนุ่ม มีชีวิตอยู่รอดจนถึงวัยที่เลี้ยงตัวเองได้ แม้เขาจะเต็มใจใช้เหตุผลกับคนอื่น แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกู้ช่านหรือหลิวเสี้ยนหยาง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของวานรย้ายภูเขาในครั้งนั้น เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใช้เหตุผลห่าเหวอะไรทั้งนั้น ขอแค่ความสามารถมากพอ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยอมตายเพื่อสิ่งนี้
——————————-
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!