กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 235

สรุปบท บทที่ 235.2: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 235.2 – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 235.2 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

กระบี่จงมา – บทที่ 235.2 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ
บทที่ 235.2 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ
โดย
ProjectZyphon
ตอนเที่ยงของวันนี้ บัณฑิตหลิ่วชื่อเฉิงติดตามพวกเฉินผิงอันเดินทางออกนอกเมือง หลิวเกาหวาและพี่สาวใหญ่ของเขา รวมไปถึงจ้าวซู่เซี่ย หลวนหลวนและอวี๋เวิงเซียนเซิงที่มีชาติกำเนิดเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อต่างก็พากันเดินทางมาส่ง ส่งถึงศาลาข้างทางที่อยู่ห่างจากเมืองมาห้าลี้ถึงได้หยุดบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์

หลิ่วชื่อเฉิงบอกลากับแม่นางหลิวอยู่ใต้ร่มไม้ ไม่รู้ว่าพูดคำรักหวานหูอะไร เพราะถึงแม้สตรีจะมีท่าทางเสียใจ แต่กลับมีรอยยิ้ม สายตามีความคิดถึงและคาดหวังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

เฉินผิงอันเดินไปหาอวิ๋เวิงเซียนเซิงเพียงลำพัง มอบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้กับอีกฝ่าย รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองหนึ่งแผ่น บอกว่านี่คือของขวัญกราบอาจารย์ที่เขาช่วยมอบให้แทนจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวน ขอร้องให้ผู้เฒ่าโปรดรับเอาไว้ ผู้เฒ่าเองก็มีนิสัยตรงไปตรงมา รับของทั้งหมดไว้อย่างไม่อิดออด พูดยิ้มๆ บอกให้เฉินผิงอันวางใจ เขาจะต้องปฏิบัติต่อจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนให้เหมือนเป็นบุตรในอุทรของตนเอง จะไม่ทำให้พวกเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอันขาด สุดท้ายเฉินผิงอันจึงกุมหมัดคารวะ “คุณธรรมของท่าน สูงยิ่งกว่าขุนเขา ยาวไกลยิ่งกว่าแม่น้ำ”

นี่คือถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของเฉินผิงอัน

ดังนั้นแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดจาสุภาพไพเราะดั่งปัญญาชน แต่เขากลับไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยไว้คนละข้าง มองส่งคนทั้งสี่เดินจากไปไกล แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มีมาดแห่งเซียนควบคู่กับคุณธรรมในยุทธภพ ประเทศชาติจึงมีบุคคลที่ยอดเยี่ยม”

หลิวเกาหวาใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของพี่สาวเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ หลิ่วชื่อเฉิงกรอกยาเสน่ห์อะไรให้ท่าน ถึงทำให้ท่านกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้?”

สตรียิ้มบางๆ ตอบรับ “หลิ่วหลางบอกว่ารอเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเมื่อไหร่ จะต้องกลับมาสู่ขอข้า ถึงเวลานั้นจะต้องนั่งดื่มสุรากับพ่อตา ให้ท่านพ่อของพวกเราเรียกเขาว่าลูกเขยทุกคำให้จงได้”

หลิวเกาหวายิ้มกว้าง “คำพูดผายลมของบัณฑิต ท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”

สตรีสาวยกสองมือกุมไว้ตรงหัวใจ เหม่อมองแผ่นหลังของบัณฑิตที่บนศีรษะสวมมงกุฎกิ่งหลิว (ธรรมเนียมชาวจีนมักจะหักกิ่งหลิวส่งให้คนที่ต้องเดินทางเพื่อแสดงถึงการอำลา) แล้วพึมพำว่า “ในตำราก็กล่าวไว้แบบนี้นี่นา”

หลิวเกาหวาระอาใจอย่างยิ่ง “เป็นบุรุษเต็มตัว แถมอายุก็ตั้งมากขนาดนี้แล้วยังสวมมงกุฎกิ่งหลิวได้ไม่รู้จักอาย ซิ่วไฉยากจนแบบนี้จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?”

หญิงสาวกระทืบหลังเท้าของน้องชายหนึ่งที กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ห้ามพูดถึงว่าที่พี่เขยของเจ้าแบบนี้”

หลิวเกาหวาเจ็บจึงรีบหดเท้าหนี ขยับไปยืนห่างอีกหน่อย สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอยด้วยท่าทางสบายอารมณ์

ผลคือถูกคนตบหัวหนักๆ ดังป้าบ

หลิวเกาหวาหันขวับกลับไปหมายจะด่าให้ลั่น ทว่ากลับเหมือนถูกคนบีบคอไว้ ให้ตายก็เปิดปากไม่ได้ กลั้นเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงพูดเสียงหงอ “ท่านพ่อ”

หญิงสาวยิ่งตื่นตระหนก

เจ้าเมืองหลิวที่ถอดชุดขุนนางเปลี่ยนมาสวมชุดเขียวของปัญญาชนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุตรชายหญิง “เจ้าเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันงั้นรึ?”

หลิวเกาหวาเดาไม่ถูกว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน แล้วคำพูดของเขานี้มีนัยยะลึกซึ้งหรือไม่ จึงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ถือว่าใช่กระมัง”

เจ้าเมืองหลิวชำเลืองตามามอง หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินไปหาอวี๋เวิงเซียนเซิง พูดคุยกับผู้เฒ่าเรื่องบทความคุณธรรม

หญิงสาวแอบตบอกตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

หลิวเกาหวาถามเบาๆ “ท่านพี่ ข้าพูดอะไรผิดอีกงั้นหรือ?”

นางกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นี่แหละที่เขาบอกว่าอย่าก่อหนี้ท่วมตัว เจ้าจะกลัวอะไรล่ะ”

หลิวเกาหวาร้องคร่ำครวญ

สองพี่น้องไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้บิดา กลัวว่าจะโดนเขม่นใส่ ยิ่งกลัวว่าจะพาตัวเองโยนเข้าไปในแห จึงเดินตามมาด้านหลังไม่ห่างและไม่ใกล้เกินไปนัก

เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยแอบชะลอฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลิวเกาหวา เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่หลิว อาจารย์ข้ากำลังชมท่านอยู่แน่ะ บอกว่าท่านมีใจกตัญญู นิสัยเดิมดีงาม บิดาท่านบอกว่าที่ไหนกันๆ ก็แค่ไม่สร้างความอัปยศให้กับวงศ์ตระกูลเท่านั้น”

ผลกลับกลายเป็นว่าบุรุษตัวโตๆ อย่างหลิวเกาหวาที่เพิ่งค่อนแคะว่าที่พี่เขยไปหยกๆ ว่าไม่เอาไหน ตอนนี้ตัวเองกลับวิ่งเร็วๆ ไปล้างหน้าที่ริมลำธารซะแล้ว

หาได้ยากที่คนทั้งกลุ่มจะมีเวลาว่างแบบนี้ พวกเขาจึงเดินตามถนนทางหลวงกลับไปยังเมืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทยอยกันเดินสวนไหล่กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่ง

ในมือของเด็กหนุ่มถือกิ่งหลิวกำใหญ่ กลางหว่างคิ้วมีตราประทับสีแดงพุทราอยู่หนึ่งจุด

หน้าตาของเขางดงามมากจริงๆ

……

ค่ำคืนหนึ่งหลังผ่านมาได้สามวัน ระหว่างเส้นทางภูเขาเงียบสงัดที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันสี่คนพักค้างแรมอยู่ในวัดโบราณรกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองหลิวพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าภูเขาตี้หลงของแคว้นซูสุ่ยมี ‘ท่าเรือ’ ประหลาดที่ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันต้องการตามหา หรือก็คือจุดออกเดินทางที่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาใช้โดยสารเรือทะยานลมไปท่ามกลางทะเลเมฆ

ตอนนี้หมัดของเฉินผิงอัน หากกล่าวตามคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิงก็คือออกหมัดครั้งหนึ่งช้าจนเขานอนหลับเต็มอิ่มไปงีบหนึ่ง

คืนนี้ช่วงหลังของการฝึกหมัด อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เริ่มเพิ่มความเร็ว สุดท้ายก็เร็วราวสายฟ้าแลบ รอบกายเหมือนมีพายุเกิดขึ้น ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันถึงชะลอความเร็วลง

จางซานเฟิงขยับมามองใกล้ๆ ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นยิ้มๆ “ทำไม มีเรื่องหงุดหงิดใจหรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่งเก็บหมัด กล่าวอย่างจนใจ “สัมผัสโดนธรณีประตูได้เล็กน้อย แต่กลับข้ามมันไปไม่ได้ ไม่ขึ้นไม่ลง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”

จางซานเฟิงยิ้มพูดว่า “นี่หมายความว่าเจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้วน่ะสิ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์ ต่อให้เป็นในยุทธภพอุตรกุรุทวีปของพวกเราก็เรียกว่าแกร่งกร้าวมากแล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนจะออกจากบ้านมีคนบอกกับข้าว่า ก่อนที่จะถึงนครมังกรเฒ่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้ได้”

แล้วทันใดนั้น

กระดิ่งสดับปีศาจที่จางซานเฟิงวางไว้บนห่อสัมภาระก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกระดิ่งดังลั่น

จางซานเฟิงหัวใจหดรัดตัวแน่น “มีปราณปีศาจขยับเข้ามาใกล้วัด!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเก็บกระดิ่งสดับปีศาจลงไปก่อน จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”

ชายฉกรรจ์เคราดกลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว หัวเราะร่าเสียงดัง “กิจการของพวกเราสามคนช่างรุ่งเรืองซะจริง โชคลาภมาเยือนแล้ว จะขวางก็ขวางไม่อยู่!”

หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป สวีหย่วนเสียก็ลูบเคราครุ่นคิด มือสองข้างวางไว้บนด้ามดาบสั้นยาวตรงเอว กล่าวเสียงหนัก “แต่จำไว้ว่า กำจัดปีศาจปราบมารก็จริง ทว่ารักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน นักพรตหนุ่มหัวเราะหึหึ “ข้ายังมียันต์เทพเดินทางอีกแผ่นหนึ่ง”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงอัดอั้น “แต่ข้าวิ่งได้เร็ว!”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!