ชุยตงซานที่ค้อมตัวไปหยิบเม็ดหมากเก็บใส่โถอย่างต่อเนื่องตอบเสียงขุ่น “ยังต้องถามอีกหรือ? ชุยฉานมีนิสัยเป็นอย่างไร ยอมเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเป็นแบบนี้ หนึ่งหมื่นปีให้หลังก็ยังจะเป็นแบบนี้!”
ชุยฉานทอดถอนใจ “เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ และบางทีก็ไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อ”
ชุยตงซานถามยิ้มๆ “ตอนนี้ข่าวสารของข้าไม่ว่องไวนัก ทางฝ่ายแคว้นไฉ่อีตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปเกิดเรื่องวุ่นวายกันแล้วใช่ไหม?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม และเรื่องวุ่นวายนั่นก็จบลงแล้ว”
ชุยตงซานที่เก็บกระดานหมากอยู่นานชำเลืองมองตาเฒ่าที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมราวกับนายท่านใหญ่ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ตัดสินใจเลิกเปลืองแรงให้เหนื่อยยาก ทิ้งตัวนอนหงายกางแขนกางขาบนเสื่อไม้ไผ่ผืนใหญ่ที่ทอขึ้นอย่างประณีต พูดงึมงำ “เจ้าโชคดีกว่าข้ามากเลย ซิ่วไฉเฒ่าเป็นพวกชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนเหนือกว่า ไม่ยินดีจะแตกหักกับเจ้าก็เลยหันมาเล่นงานหนุ่มน้อยที่ไร้เดียงสาอย่างข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ข้าผู้อาวุโสได้รับความอยุติธรรมและถูกผู้คนดูแคลนมากเท่าไหร่”
ชุยฉานเงียบไม่ต่อคำ
ชุยตงซานนอนหงายอยู่บนเสื่อ ยกมือลูบหน้าผากราวกับว่าตอนนี้ก็ยังเจ็บตุบๆ ภาพที่หลี่เป่าผิงเด็กบ้านั่นเอาตราประทับทุบหัวเขาก็คือเงามืดในใจ!
ชุยตงซานยกขานอนไขว่ห้าง ถอนหายใจเฮือกๆ “ฮ่องเต้ต้าสุยถือว่าเป็นคนกล้าหาญ ทนรับความอัปยศแบกภาระหนักอึ้งได้ การที่เขายอมถูกหยามเกียรติลงนามเป็นพันธมิตรกับต้าหลีในครั้งนี้ สกุลเกาแห่งเมืองอี้หยางต้าสุยต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัว ยอมพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ต้องยอมยกแคว้นใต้อาณัติซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงให้ต้าหลีด้วยสาเหตุนี้ถึงหนึ่งร้อยปี ได้แต่ทนมองให้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ควบผ่านประตูหน้าบ้านของตัวเองคาตา และนี่ย่อมต้องเป็นการควบรวมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปมาก่อน”
ชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อีกร้อยปีให้หลัง สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะเป็นอย่างไร เจ้าและข้ามองเห็นได้หรือ? ต่อให้มองเห็น แล้วจะถูกต้องเสมอไปหรืออย่างไร? การอดทนข่มกลั้นของสกุลเกาต้าสุยในวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะได้กลายเป็นคนมาทีหลังที่ก้าวนำไปก่อน”
ชุยตงซานส่ายหน้า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง”
ชุยฉานแค่นหัวเราะ “ที่แท้ข้าชุยฉานตอนเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะนิสัยหรือสายตาก็ล้วนไม่เอาไหน มิน่าเล่าวันนี้ข้าถึงมีสภาพน่าอนาถได้ถึงขนาดนี้”
ชุยตงซานไม่โกรธ เขากระดิกขาข้างหนึ่ง สอดสองมือหนุนเป็นหมอนใต้ท้ายทอย สายตาจ้องเป๋งไปที่เพดาน “ไม่รู้ว่าทำไม เจ้าดูถูกข้าในเวลานี้ ข้าเองก็ไม่ชอบเจ้าในตอนนี้เหมือนกัน คนที่ส่องกระจก ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกันเอง ฮ่าๆ ไม่นึกว่าใต้หล้าจะมีเรื่องที่น่าสนใจขนาดนี้”
ชุยฉานลังเลอยู่ชั่วขณะ “ท่านปู่ไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน พักอาศัยอยู่ในเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้สติกลับคืนมามากแล้ว แต่ว่า…”
“รู้อยู่แล้วว่าต้องมีไอ้คำว่า ‘แต่’ สมควรตายนี่!”
ชุยตงซานยกมือสองข้างอุดหู นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเสื่อ ร้องคร่ำครวญเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ คนระยำท่องคัมภีร์”
ชุยฉานไม่สนใจเขา ยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ก่อนหน้าที่ลู่เฉินจะไปจากใต้หล้าไพศาล ได้ไปหาเขาและประมือกันในเรือนไม้ไผ่ เจ้าน่าจะรู้ดีว่า ด้วยนิสัยดึงดันที่พอได้ฝึกวิชาหมัดก็ฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรกของเขาแล้ว ปรารถนาสูงสุดในชีวิตคืออยากรู้ว่าเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบกับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสาม หรือแม้แต่กับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสี่ ใครสูงใครต่ำ และต่อให้ต่ำ จะต่ำกว่ากันมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิที่ดูแลลัทธิเต๋าสายหนึ่ง…”
ชุยตงซานหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่มีหมากล้อมหนึ่งกระดานกั้นขวาง “ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ควรต้องเคารพกฎที่ศาลเจ้าบุ๋นตั้งไว้กระมัง อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้ขอบเขตสิบสาม หากท่านปู่สามารถกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังให้ต่อสู้เสียเลย ไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นต้องตายสถานเดียว”
ชุยฉานส่ายหน้า “ลู่เฉินเล่นตุกติก พาเขาเข้าไปในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้สนามต่อสู้จึงไม่ถือว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว”
ชุยตงซานผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นเก็บอารมณ์อย่างถึงที่สุด “ท่านปู่ตายแล้ว?”
ชุยฉานจิบชา ก่อนพูดเนิบช้าว่า “เปล่า หลังจบเรื่องเขาเดินออกมาจากในเรือนไม้ไผ่ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขายสี่สมบัติในห้องหนังสือ (พู่กัน กระดาษ หมึก จานฝนหมึก) เหมือนชาวบ้านทั่วไปของเมืองเล็กคนหนึ่ง ตอนที่ข้าไปหาเขา เขาบอกว่าตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กนั่น ลู่เฉินใช้มรรคกถาที่ลี้ลับเรียกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบถึงสิบคนออกมาให้เขาใช้งาน ลองจินตนาการดู หนึ่งคนสองหมัด ถูกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานสิบท่านโอบล้อม ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าจะยังปล่อยหมัดนั้นออกไปหรือไม่?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน แล้วก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง ยื่นมือมาทึ้งผมตัวเอง กล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าย่อมไม่ทำอยู่แล้ว แต่เขาน่ะทำแน่นอน ท่านปู่จะไม่รู้เลยหรือว่า เมื่อเก็บหมัดนี้กลับมาก็เท่ากับว่าโยนขอบเขตสิบเอ็ดของวิถีวรยุทธ์ในตำนานทิ้งไป? หากไม่ปล่อยหมัดนี้ออกไป สิ่งที่แสวงหามาทั้งชีวิตก็ล้วนถูกละทิ้งไปทั้งหมดน่ะสิ”
ชุยฉานวางถ้วยชาลง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้เขาปล่อยหมัดไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก หรืออาจถึงขั้นเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดได้อย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้า และยังมีเฉินผิงอัน วันหน้าจะยังมีชีวิตที่เป็นสุขได้อีกหรือ? พวกตาแก่ทั้งหลายที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมานับร้อยนับพันปีอาจจะยอมปล่อยให้แจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับเทพแห่งการต่อสู้ขอบเขตสิบเอ็ดคนใหม่ได้ ดังนั้นหมัดนี้ของเขาจึงเป็นการแลกเปลี่ยนกับเจ้าลัทธิลู่เฉิน หรือจะพูดอีกอย่างว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เอาขอบเขตสิบเอ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งไปแลกกับโอกาสที่จะได้ขายของเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แลกมาด้วยวันเวลาที่สงบสุขร่มเย็นไปตลอดชีวิต”
ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายดังตุ้บ “น่าเบื่อ”
หัวใจของชุยฉานสั่นไหวเล็กน้อย หันขวับไปมองที่นอกประตู
ชุยตงซานก็ทำแบบเดียวกัน
ชุยฉานหัวเราะหยัน “ฉีจิ้งชุน! วิญญาณไม่ยอมดับสลายไปเสียที จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้ยอมหยุดอย่างแท้จริง ข้าอยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะยังมีวิธีรับมือเหลือทิ้งไว้ให้เล่นหมากล้อมกับข้าอีกหรือไม่!”
ชุยตงซานกล่าวอย่างมีใจสู้แต่ไร้กำลัง “เหล่าชุยเอ๋ย เจ้าอยากจะปวดหัวก็ปวดหัวไปคนเดียวเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เล่นหมากล้อมกับฉีจิ้งชุนอีกแล้ว เพราะมันยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่”
ชุยฉานส่งเสียงหึในลำคอ ลุกขึ้นยืนหลุบตามองต่ำมายังตัวเองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะหยัน “โคลนเละปั้นไม่ติดกำแพง!”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคักได้หน้าตาเฉย “อันที่จริงนอนอาบแดดอยู่ในโคลนเละๆ ก็สบายจะตายไป อย่าได้ปั้นประคองข้าขึ้นมาเด็ดขาดเชียว ใครทำอย่างนั้นข้าโกรธตายเลย”
ชุยฉานยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอามา!”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”
สีหน้าของชุยฉานดำคล้ำ “วัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น!”
ชุยตงซานพลิกตัวกลับ หันก้นให้ชุยฉาน
สีหน้าของชุยฉานเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ให้เจ้ายืมใช้ยี่สิบปี วันหน้าต่อให้เจ้ายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ข้าก็ยังจะเอาคืนอยู่ดี”
ชุยตงซานพลิกตัวกลับมาอย่างว่องไว ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เอ่ยต่อรองราคา “อย่างน้อยห้าสิบปี!”
ชุยฉานเดินไปที่หน้าประตู ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด “สามสิบปี หากยังกล้าได้คืบเอาศอก ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้”
หลังจากชุยฉานจากไปแล้ว ชุยตงซานก็กลิ้งตัวจากบนเสื่อมาจนถึงหน้าประตู
ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่นอกธรณีประตูเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน ชำเลืองตามองท่านั่งของเด็กสาวแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ที่แท้ก้นเจ้าก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงคิดอยากจะเป็นอาจารย์แม่ของข้า”
เด็กสาวนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ท่านั่งยังคงเดิม แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้น วิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วเตะก้นของนางอย่างแรงจนร่างของเด็กสาวล้มทิ่มเข้าไปในลานบ้าน
เด็กหนุ่มชุดขาวยกมือสองข้างเท้าเอว หัวเราะเสียงดังสนั่น
เด็กสาวลุกขึ้นยืนเงียบๆ แม้แต่ฝุ่นดินที่เปื้อนอยู่บนตัวก็ยังไม่กล้าปัด
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาตบลงบนตำแหน่งหัวใจ “เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเจ้าแล้ว หัวใจของคุณชายอย่างข้าก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดคว้าน”
เซี่ยเซี่ยฝืนเค้นรอยยิ้มทั้งที่ในใจไม่เบิกบาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!