เฉินผิงอันที่มหาสมุทรลมปราณจุดตันเถียนโหมสัดซาดยากสงบทำได้เพียงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา ค่อยๆ หายใจผ่อนช้าตามวิธีการของหยางเหล่าโถว การโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่เกิดขึ้นเองอย่างเคยชินได้กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเฉินผิงอันนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องจงใจโคจรก็สามารถไหลรินไปตามช่องต่างๆ หลายสิบช่องที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เหมือนกับช่องโพรงลมปราณในตอนนี้ได้เอง ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่ระหว่างหกเจ็ดหยุด ตอนนี้มาติดอยู่ที่สิบสองสิบสามหยุด เสมือนถูกร่องลึกกั้นขวาง ยากที่จะขยับเดินไปด้านหน้าได้
เฉินผิงอันกลั้นลมหายใจทำสมาธิ แล้วปล่อยหมัดที่สี่เข้าใส่น้ำตก
ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนได้หลายสิบหมัด เฉินผิงอันก็จำต้องเอนหลังพิงราวระเบียงถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ในช่วงเวลาที่ปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วเริ่มดื่มช้าๆ
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ ในตำราบอกว่าดวงจันทร์คือแสงแห่งบ้านเกิด บอกว่าดวงจันทร์ลอยไปตามสายนที และยังบอกว่าดวงจันทร์ผุดเหนือมหาสมุทรดุจกระแสน้ำขึ้น
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ ไม่รู้ว่าคอยมองพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์เต็มดวงของบ้านเกิดมาแล้วกี่ครั้ง เคยดูกับหลิวเสี้ยนหยาง แล้วก็เคยดูกับเด็กขี้มูกยืดกู้ช่าน ดูครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานาน นอกจากวันที่เป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว อันที่จริงช่วงเวลาอื่นๆ เฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ ออกเดินทางไกลสองครั้งก็ได้เห็นภาพธรรมชาติยิ่งใหญ่อย่างดวงดาวดารดาษที่อยู่ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าก็ถึง เห็นพื้นที่ราบกว้างไกล เห็นดวงจันทร์ที่ไหลไปตามกระแสนที ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ คราวนี้ต้องเอากระบี่ไปส่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้ที่สุดก่อน ไม่รู้ว่าภาพของดวงจันทร์และดวงดาวที่อยู่เหนือมหาสมุทรจะงดงามเพียงใด
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ลุกขึ้นยืน รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย แล้วเริ่มเหวี่ยงหมัดรอบต่อไป เขาตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะต้องปล่อยกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบสามหมัดให้เสร็จในรวดเดียว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าในเรือนไม้ไผ่เคยพูดกลั้วหัวเราะว่า การเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ ทวนทองม้าเหล็ก พลทหารม้ามือดีอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ไม่เคยมีพวกกระจอกที่โดนเจาะขบวนรบแค่ครั้งสองครั้งก็ลงไปนอนพังพาบ
ถูกแรงมหาศาลของน้ำตกสายยักษ์กระแทกใส่ศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายของเฉินผิงอันจึงเริ่มสัมผัสกับความเจ็บปวดได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยหมัดครั้งนี้เสร็จ เฉินผิงอันถึงกับนอนเหยียดยาวอยู่บนหินฐานศาลา หอบหายใจฮักๆ เสียงดัง
หากตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยแค่ปล่อยหมัดทุบตีหล่อหลอมร่างกายของเฉินผิงอัน ให้เขาทนมือทนเท้าได้อย่างเดียว โดยที่ไม่ได้เรียกร้องให้เฉินผิงอัน ‘กรีดหนังเลาะเส้นเอ็น’ ด้วยมือตัวเอง ไม่มีการกระทำทั้งหลายแหล่ที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าจนมิอาจทนมอง บางทีการฝึกหมัดของเฉินผิงอันในวันนี้อาจจะต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ ไม่เหลือความดึงดันที่จะออกหมัดอีกต่อไป
มีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าเปลือยเท้ายืนค้ำหัวหลุบตามองเฉินผิงอันที่นอนจมกองเลือด แค่นเสียงหยันพูดว่า “ความลำบากแค่นี้ก็ทนไม่ได้ ยังคิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบอีกรึ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันแค่รู้สึกอยากด่าตาเฒ่าหลายๆ คำ น่าเสียดายที่เรี่ยวแรงเหลือไม่มากพอ แม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก
เมื่อเทียบกับความลำบากที่เคยได้รับบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว ตอนนี้จึงเรียกได้ว่าเสวยสุข!
ไม่ใช่ว่ายิ่งเดินไปบนยุทธภพไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ชินกับความลำบากมากเท่านั้น
เฉินผิงอันที่พูดอยู่กับตัวเองในใจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กัดฟันปล่อยหมัดอีกครั้ง
หนึ่งเค่อต่อมา น้ำตกใต้แสงจันทร์ยังคงมีเสียงบ่อน้ำถูกกระแทกดังตูมตามเป็นระลอกราวกับกำลังเย้ยหยันความไม่เจียมตัวของเด็กหนุ่ม เป็นเพียงมดตัวน้อยริอ่านจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่
เฉินผิงอันแหงนหน้าโผล่พ้นผิวน้ำ ลืมตามองท้องฟ้าเบื้องบน
ปีนขึ้นฝั่งมาแล้วก็ออกหมัดอีกครั้ง เฉินผิงอันคำรามกร้าวดุดัน “จงเปิดออกให้ข้า!”
ม่านน้ำตกถูกพายุหมัดที่ดุดันต่อยจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ทว่าก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เพราะหลังจากที่หมัดของเฉินผิงอันกระแทกใส่ผนังหินหนักๆ ร่างทั้งร่างแทบจะลอดผ่านน้ำตกไปได้ เขาก็ถูกสายน้ำพัดพาให้จมดิ่งลงไปใต้บ่ออีกครั้ง หลังจากที่ล่องลอยหมุนซ้ายเวียนขวาไปตามกระแสน้ำของบ่อลึกก็ปีนขึ้นมาบนฐานหินของศาลาอีกรอบ
ต่อยๆ หยุดๆ อยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำก็มานั่งอยู่บนราวระเบียง ทำได้เพียงยกกาเหล้าขึ้นมาด้วยมือสั่นๆ แหงนหน้ากรอกเหล้าหมักฮวาเตียวเข้าปากหนึ่งคำก็รู้สึกว่าลำคอแสบร้อน กระเพาะเดือดพล่าน จำต้องเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่กล้าดื่มอีกต่อให้จะเป็นแค่จิบเล็กๆ ก็ตาม
หมู่บ้านวารีกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลแขวนโคมไฟสูงส่องแสงสว่าง อีกนานกว่างานเลี้ยงจะยุติ หญิงสาวลูกศิษย์ของหมู่บ้านที่พกกระบี่ซึ่งควบหน้าที่เป็นผู้คุมกันช่วยรำกระบี่ให้แขกเหรื่อได้ชม เรียกเสียงไชโยโห่ร้องให้กำลังใจไม่หยุด
เฉินผิงอันเอียงศีรษะ จ้องนิ่งไปยังน้ำตกที่เป็นราวกับยอดฝีมือซึ่งไร้ศัตรูใดในโลกจะทัดทาน
การออกหมัดครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า พลิ้วตัวดีดเท้าเหยียบไปบนผิวน้ำเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้น้ำตกก็ปล่อยทั้งหมัดทั้งแขนทะลุม่านน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า…
พละกำลังของคนย่อมมีวันที่ใช้หมดลง เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดในคืนนี้สามารถยุติได้แล้ว เพราะตนเหนื่อยล้าเต็มที หากยังต่อยน้ำตกต่อไป ไม่แน่ว่าครั้งไหนอาจถูกพัดจมลงไปก้นบ่อ หมดสติแล้วตายไปเลย สุดท้ายพอโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็คือกลายเป็นศพขึ้นอืดไปแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกจากศาลาด้วยร่างที่เปียกโชก เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง
นอนหลับไปไม่ถึงสามชั่วยาม เช้าตรู่วันถัดมา เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแบบลวกๆ แล้วก็เดินนิ่งหกก้าวไปยังศาลาริมน้ำตก
จนกระทั่งเที่ยงวันถึงย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันจำต้องให้จางซานเฟิงไปบอกกับทางหมู่บ้านว่า เขาต้องการถังน้ำใบใหญ่ใบหนึ่ง รอจนพ่อบ้านฉู่ส่งสาวใช้ที่เขาไว้ใจให้ยกถังน้ำซึ่งบรรจุน้ำร้อนไว้เต็มถังมาให้ เฉินผิงอันจึงปิดประตูห้อง แช่ตัวอยู่ในถังน้ำ
ตัวยาที่เว่ยป้อซื้อมาจากร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีพอให้ใช้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น ใช้ที่เมืองแยนจือไปแล้วหนึ่งครั้ง หลังจากใช้ครั้งนี้ไปแล้วก็เหลือโอกาสแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น
วันนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงต้อนรับคนในยุทธภพจากสถานที่ต่างๆ ที่พากันมาเยือนไม่ขาดสาย พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันฤกษ์ดีที่เหมาะแก่การคัดเลือกผู้นำในยุทธภพ
พวกวีรบุรุษและจอมยุทธ์ผู้กล้าง่วนอยู่กับการแวะเวียนไปมาหาสู่กัน หากไม่ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการต่อสู้ ก็ขอคำแนะนำปัญหายากๆ จากผู้อาวุโส บ้างก็เอาหน้าเอาตาไปให้ปรมาจารย์ใหญ่ได้คุ้นหน้า จับคู่กันเป็นกลุ่ม ไปๆ มาๆ ครึกครื้นมากเป็นพิเศษ
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันกินอาหารเย็นร่วมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จก็ไปที่น้ำตกเพียงลำพังอีกครั้ง
คราวนี้นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ท่าหมัดที่ผู้อาวุโสแซ่ชุยถ่ายทอดให้แล้ว เนื่องด้วยตำแหน่งหนึ่งในบ่อน้ำที่ห่างจากผิวน้ำประมาณสองฉื่อ ไม่ใช่พื้นที่ตรงกลางที่ตรงกับสายน้ำตก มีหินสูงงอกขึ้นมาก้อนหนึ่ง ใหญ่ประมาณกระดานหมากล้อม ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อถูกสายน้ำจู่โจมนานนับร้อยนับพันปี แต่กลับไม่ถูกกัดเซาะ เฉินผิงอันจึงบังเกิดความคิดดีๆ เขาไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ใช้ท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ปล่อยให้น้ำตกกระแทกศีรษะของตัวเอง เฉินผิงอันที่ถูกสายน้ำซัดกระหน่ำใส่จำต้องเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายนั่งไม่มั่นคงจึงพลัดตกลงไปน้ำ
พอหลายครั้งเข้า เฉินผิงอันก็สามารถใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูยืนหยัดอยู่ได้ประมาณเกือบครึ่งก้านธูป จากนั้นก็สามารถยืดอกนั่งตัวตรงได้อีกครึ่งก้านธูป สุดท้ายก้มหัวลง ยื่นออกไปให้พ้นสายน้ำตก ใช้แผ่นหลังรองรับแรงโจมตี เมื่อรวมกันแล้วก็พอจะประคับประคองตนได้ประมาณหนึ่งก้านธูป เมื่อเทียบกับการออกหมัดต่อยน้ำตกแล้ว เฉินผิงอันค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าการใช้น้ำขัดเกลาโดยที่ตัวเอง ‘นิ่งดุจขุนเขา’ นี้ มีประโยชน์มากยิ่งกว่า ช่องโพรงลมปราณในร่างกายคล้ายถูกสายลมแรงพัดผ่าน ช่องโพรงแต่ละแห่งคลายตัวออกเล็กน้อย การโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดยิ่งรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
เมื่อค้นพบเรื่องน่ายินดีนี้ เฉินผิงอันก็กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าในท้องรู้สึกเหมือนถูกไฟร้อนแผดเผา เฉินผิงอันกระโดดเหยงๆ อยู่ในศาลา แสยะปากแยกเขี้ยว
จากนั้นก็ไปยืนนิ่งอยู่ใต้น้ำตกอีกหลายรอบ ครึ่งคืนหลังแสงจันทร์ยังคงเดิม เสียงร้องรำทำเพลงที่หมู่บ้านวารีกระบี่ยิ่งดังครึกครื้น เด็กหนุ่มเดินกลับเรือนที่พักของตัวเองด้วยความฮึกเหิม ในห้องมีถังน้ำ รวมไปถึงสาวใช้พกกระบี่สองคนของหมู่บ้านที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เฉินผิงอันใช้ตัวยาของร้านผ้าห่อบุญส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่
ครั้งนี้เฉินผิงอันเกียจคร้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขานอนหลับยาวไปจนตะวันลอยสูงสายโด่ง
กินข้าวอิ่มหนึ่งมื้อก็เดินออกจากเรือนไปด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ผงกศีรษะยิ้มให้สาวใช้พกกระบี่ทั้งสองคน เริ่มท่าเดินนิ่งอย่างเชื่องช้า เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำไปถึงศาลาริมน้ำที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับน้ำตกมาหลายร้อยปี ได้ยินมาว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เพิ่งสร้างขึ้นได้แค่หกสิบเจ็ดสิบปี แต่ศาลาไร้นามแห่งนี้กลับมีมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่นานวันเข้า ผู้คนจึงเคยชินที่จะวาดเขตให้ศาลาเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านวารีกระบี่
ขณะที่เฉินผิงอันเดินนิ่งจากไปไกล
เด็กสาวองค์รักษ์พกกระบี่สองคนที่ว่างงานก็ขยับเข้ามากระซิบกระซาบกัน
เด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้ารูปไข่ห่านบอกว่าเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนประหลาดจริงๆ อีกคนหนึ่งก็พูดยิ้มๆ ว่าหากไม่ใช่คนประหลาด จะเข้าตาอดีตผู้นำหมู่บ้านได้อย่างไร?
เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านจึงเอ่ยหยอกเย้าสหายว่า ถึงแม้คุณชายคนนี้จะหน้าตาสู้นายน้อยท่านผู้นำไม่ได้ แต่ก็สะอาดสะอ้านชวนมอง เจ้าชอบหรือไม่?
เด็กสาวพกกระบี่อีกคนหนึ่งตอบว่าเคยเห็นความหล่อเหลาโดดเด่นของนายน้อยเจ้าหมู่บ้านมาก่อนแล้ว บุรุษคนอื่นก็ไม่เข้าตาอีก
เด็กสาวสองคนฉวยโอกาสที่รอบกายไม่มีใครหัวเราะคิกคักสนุกสนาน สำหรับพวกนางแล้ว สามารถฝึกวิชากระบี่อยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ได้ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว วันหน้าภายใต้การจัดการของฮูหยินผู้มีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ท่านนั้น บางทีพวกนางอาจจะได้แต่งให้กับบุรุษรูปงามมากฝีมือในยุทธภพที่มีอนาคตยาวไกล แต่หมู่บ้านวารีกระบี่จะเป็นบ้านเดิมของพวกนางตลอดไป ไม่ต้องคอยกังวลกับมรสุมคลื่นลมในยุทธภพไปตลอดกาล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!