ประโยคแรกที่เขาเอ่ย ไม่ได้พูดกับเฉินผิงอันที่ผู้เฒ่า ‘แต่งตั้ง’ ให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา แต่สอบถามเทพหยินว่า “เหล่าจ้าว ตอนนี้คงพูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้วกระมัง? ท่านผู้เฒ่ามีคำสั่งอะไรอีก? อีกไม่กี่วันเฉินผิงอันก็ต้องโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปจากที่นี่แล้ว เรื่องของผู้ปกป้องมรรคา ช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้หรือไม่?”
เทพหยินส่ายหน้า “เสินจวินแค่กำชับข้าว่า หากเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จก็จงดื่มด่ำกับความสุขไปซะ แต่หากล้มเหลวก็ให้จับเจ้าโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา”
เจิ้งต้าเฟิงใช้มือสองข้างขยี้แก้มอย่างแรง “มารดาของข้าเอ๋ย ก็ยังงงอยู่ดี”
เจิ้งต้าเฟิงเอากระบอกยาสูบเก่าแก่มาวางไว้ในอ้อมอก เปิดผนึกดินบนไหเหล้าออก ก้มหน้าสูดสวบหนึ่งทีประหนึ่งมังกรสูบน้ำ สุราก็รวมตัวกันเป็นเส้นหนึ่งเส้นแล้วพุ่งเข้าไปในปากของเจิ้งต้าเฟิงด้วยตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงเช็ดปาก แหงนหน้ามองไปยังทะเลเมฆผืนนั้น “เหล่าจ้าว เจ้าว่าท่านผู้เฒ่าจะเดาถึงภาพเหตุการณ์ที่ข้าได้พบเห็นในการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้หรือไม่? คาดการณ์ได้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะฝ่าด่านเคาะหัวใจไปถึงด้านชนประตูสวรรค์ได้ในรวดเดียว? เคยคิดได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าพบภาพเหตุการณ์บริเวณใกล้เคียงกับประตูใหญ่ ข้าเกือบจะ…”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงดื่มเหล้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มหน้าบาน “ไม่แน่ว่าคำพูดประโยคนั้นของท่านผู้เฒ่าอาจจะมีความหมายสองชั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ‘ไม่มีหวังเลื่อนสู่ขั้นเก้าไปตลอดชีวิต’ ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่านี่เกเรจริงๆ …”
มุมปากของเทพหยินกระตุก
รู้สึกว่าเจิ้งต้าเฟิงรนหาที่ตายจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนถูกคนบีบคอ เหลียวมองไปรอบด้านอย่างคนร้อนตัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่กลางลานบ้าน หันหน้าไปทางทิศเหนือ พึมพำกับตัวเองว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ ศิษย์เจิ้งต้าเฟิงฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องที่น่ายินดีนี้ต่อหน้าท่านได้ ในใจให้ละอายยิ่งนัก ท่านผู้อาวุโสท่านฉลาดปราดเปรื่อง เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ขอท่านอย่าโกรธ ศิษย์ทำได้เพียงจุดธูปสามดอกกราบสามครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ!”
ในมือของเจิ้งต้าเฟิงถือธูปไว้สามดอกจริงๆ เขาคำนับสามครั้งไปยังทิศทางของต้าหลีที่อยู่ห่างไปไกล
เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์อย่างยิ่ง หยางเหล่าโถวสั่งสอนลูกศิษย์สองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิงได้อย่างไร
แต่พอคิดถึงพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีที่มีนิสัยแตกต่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ เฉินผิงอันก็ไม่ประหลาดใจอีกต่อไป
แต่ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะจุดธูปกราบไหว้ เขามีท่าทางที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นอย่างชัดเจน เจิ้งต้าเฟิงยกแขนขึ้นมาข้างหนึ่ง ยื่นมือข้ามศีรษะอ้อมไปด้านหลัง ราวกับว่าตรงนั้นซ่อนธูปสามดอกเอาไว้ ตอนดึงมือกลับจึงติดมือเขามาด้วย
เจิ้งต้าเฟิงทำทุกอย่างนี้เสร็จก็นั่งกลับไปนั่งบนม้านั่งอย่างเกียจคร้าน ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะเสวยสุขจริงๆ เขาจ้องหน้าเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็จ้องตาเขา
คนหนึ่งคล้ายจอมอันธพาลที่ติดหนี้คนอื่น แต่ให้ตายก็ไม่ยอมใช้คืน
คนหนึ่งคล้ายกำลังพูดว่าเจ้ากล้าไม่คืนเงินข้า ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ก็จะทำให้เจ้ารำคาญจนตายแทน
เทพหยินมองคนทั้งสองแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้าใจวิถีทางโลกในปัจจุบันสักเท่าไหร่
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายสถานการณ์ มีคนเลิกผ้าม่านขึ้น แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในลานบ้านทันที มือข้างหนึ่งของเขาเลิกผ้าม่านขึ้นสูง มืออีกข้างหนึ่งหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ดีที่สุดของนครมังกรเฒ่ามาหนึ่งไห ลำพังเพียงแค่ไหเหล้าที่งามประณีตใบนี้ก็สามารถขายได้หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาริมฝีปากแดงก่ำเห็นว่าในลานบ้านยังมีคนนอกอยู่ จึงเกิดความลังเล เขายืนอยู่ที่เดิม ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์เจิ้ง…ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็หายตัวไป
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นคนวัยเดียวกับตน มองออกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ตอนนี้น่าจะยังเป็นขอบเขตสาม สังเกตจากการหายใจระหว่างที่พูดคุย การสั่นไหวเบาๆ ของกล้ามเนื้อทั่วร่างเมื่อเปิดปากพูด รวมไปถึงปราณเลือดลมที่แผ่ออกมาข้างนอก รากฐานวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นี้ปูมาได้แน่นหนาพอสมควร แต่มีตำหนิค่อนข้างเยอะ ‘ทางเดินม้าลาดตระเวน’ ในช่องโพรงลมปราณที่มีปราณแท้จริงบริสุทธิ์อยู่มากมายดูคล้ายจะไม่กว้างมากพอ และไม่ราบเรียบมากพอ…
เฉินผิงอันรู้สึกตกใจ
เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองสามารถมองขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของคนอื่นได้ด้วย
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้ตระหนักว่าตนเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์แล้วจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ถือสาอาการเหม่อลอยของเฉินผิงอัน เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าปิดบังท่านปู่ของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากจะตำหนิเจ้าหรอกนะ ของขวัญแสดงความยินดีมีแค่เหล้ากุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านหมักเองไหเดียวเนี่ยนะ? สุกเอาเผากินไปหน่อยหรือเปล่า? ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องใหญ่สักเท่าไหร่ แต่กลับพิถีพิถันในเรื่องเล็กๆ เสมอมา เจ้าเอาเหล้าทิ้งไว้แล้วรีบกลับตระกูลฟ่านไปบอกปู่เจ้าว่า คนเราจะขี้เหนียวเกินไปไม่ได้”
เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจนใจว่า “อาจารย์เจิ้ง เป็นเพราะข้าได้ยินท่านปู่พูดถึงเรื่องนี้ เลยแอบขโมยเอาเหล้ามามอบให้ท่าน นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้อาวุโสตระกูลข้า ไม่อย่างนั้นอาจารย์รอให้วันหน้าข้าได้สืบทอดเรือเกาะกุ้ยฮวาลำนั้นก่อน แล้วข้าจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ท่านอีกที? เหล้าไหนี้ข้าขโมยมาจากที่บ้าน กลับไปจะให้ท่านปู่ข้ารู้ไม่ได้เด็ดขาดเชียว แต่ข้าจะกลับไปขอของขวัญจากที่บ้านมามอบให้ท่านอาจารย์เดี๋ยวนี้แหละ…”
เด็กหนุ่มวางไหเหล้าลงแล้วก็วิ่งตุปัดตุเป๋จากไป
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ห้ามปรามเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านที่รีบร้อนจากไป เขาชำเลืองตามามองเฉินผิงอันที่ปราศจากความกระตือรือร้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ในใจคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน ดูเจ้าเด็กตระกูลฟ่านสิ ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ใจกว้างเปิดเผย พูดง่าย มีแต่ข้อดีเต็มไปหมด แล้วหันมาดูเจ้าเฉินผิงอัน หนี้เก่าแค่ห้าอีแปะ เจ้ากลับจดจำได้นานขนาดนี้ แถมผิวยังไม่ขาว คร่ำครึเคร่งเครียด ทั้งตัวมีแต่ข้อเสีย!
จากคำพูดของเด็กหนุ่ม มากพอจะให้เฉินผิงอันเข้าใจเรื่องวงในได้มากมาย
เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดจากตระกูลฟ่านแห่งนครมังกรเฒ่าที่ลงเดิมพันข้างต้าหลีเหมือนกับตระกูลฝู ตอนนี้กราบเจิ้งต้าเฟิงเป็นอาจารย์ ในอนาคตจะได้ครอบครองเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!