กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 269

กระบี่จงมา – บทที่ 269.2 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
บทที่ 269.2 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนเล็กกุยม่าย หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองยืนอยู่ในลานบ้าน ส่งยิ้มต้อนรับ

เดิมทีเฉินผิงอันเคยเป็นฝ่ายไปหาหม่าจื้อที่พักรักษาตัวอยู่ถึงเรือนพัก สอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถฝึกกระบี่ได้อีกครั้ง สามวันต่อมา เรือนเล็กกุยม่ายก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างที่เคยเป็นเมื่อแรกเริ่มสุด หม่าจื้อช่วยฝึกกระบี่ให้เฉินผิงอัน จินซู่รับผิดชอบส่งอาหารสามมื้อในหนึ่งวัน บางครั้งกุ้ยฮูหยินก็จะมาที่เรือนเล็ก นางไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่ชงชาให้คนทั้งสองดื่มหนึ่งกาแล้วจากไป

ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นที่มีผีงามโครงกระดูกพักผิงอยู่ออกมา กุ้ยฮูหยินนำมาถือไว้ในมือ เพียงไม่นานผีสาวชุดขาวก็ถูก ‘สะบัด’ ออกมา ครั้งแรกที่ได้กลับมาเห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง ผีสาวชุดขาวที่เคยแสดงพลังอำนาจดุร้ายในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีผู้นี้ก็เห็นกุ้ยฮูหยินที่เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง คนพายเรือเฒ่าเซียนพสุธาที่ขอบเขตถดถอยไปยังโอสถทองคนหนึ่ง หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง และยังรวมไปถึงศัตรูอย่างเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง

หากไม่เป็นเพราะผีสาวตายไปแล้ว เกรงว่าจิตวิญญาณคงแหลกสลายไปอีกครั้ง

สุดท้ายภายใต้ความช่วยเหลือของกุ้ยฮูหยิน ‘อริยะจำลอง’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ผีงามโครงกระดูกก็เอ่ยคำสาบานอย่างจริงจังว่าจะจงรักภักดีต่อเฉินผิงอันเป็นเวลาหกสิบปี ค่าตอบแทนก็คือนางสามารถออกจากยันต์ที่ไม่มีปราณวิญญาณราดรดจึงทำให้ดวงจิตของนางค่อยๆ ไหลรินหายไปทีละน้อยแผ่นนั้น เข้าไป ‘พักอาศัย’ อยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวแทน

เพราะในประวัติความเป็นมาของต้นไหวโบราณก็มีคำกล่าวว่า ‘เรือนไหว’ อยู่แล้ว ไม่เพียงแต่พวกภูตไม้ที่ชื่นชอบต้นไหวที่มีอายุนับพันปีขึ้นไป วิญญาณผีและวัตถุหยินก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ทางช้างเผือกเปล่งประกายระยิบระยับ จู่ๆ ผู้เฒ่าพายเรือก็มาหาเฉินผิงอัน พาเขาไปยังท่าเรือที่อยู่ตรงตีนภูเขาเกาะกุ้ยฮวา รอจนเฉินผิงอันไปถึงที่นั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงท่าเรือมีเจียวหลงเยาว์วัยตัวหนึ่งปีนขึ้นมา มันเอาศีรษะวางพาดไว้บนชายฝั่ง ร่างกายส่วนใหญ่จมอยู่ในน้ำทะเล สายตาที่มันมองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และซาบซึ้งใจอย่างไร้เดียงสา

คนพายเรือเฒ่านั่งยองริมท่าเรือ จุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กที่น่าสงสารตัวนี้ หากเป็นมนุษย์เราก็คงอายุประมาณหกเจ็ดขวบกระมัง ตอนนั้นกุ้ยฮูหยินไม่อยากทำให้เจ้าตัวน้อยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ลำบากใจ จึงเก็บไว้แค่ข้องราชามังกร ปล่อยตัวมันไป คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนมันจะไม่มีบ้านให้กลับ จึงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวามา แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้เกินไปนัก ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั้งคืน ว่ายวนเวียนอยู่รอบเกาะกุ้ยฮวาไม่ยอมไปไหน ตอนนี้พวกเราขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวน้อยคงรู้ว่าหากยังขยับไปข้างหน้าต่อย่อมต้องตายสถานเดียว คราวนี้แม้แต่ตอนกลางวันก็ยังร้องไห้งอแง หากไม่เป็นเพราะกุ้ยฮูหยินสงสารมัน จึงช่วยอำพรางลมปราณให้กับมัน เกรงว่าคงถูกพวกผู้ฝึกลมปราณที่เคียดแค้นถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมานานแล้ว”

สุดท้ายคนพายเรือเฒ่าพูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนมันตั้งใจจะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือมาแก้แค้น แม้ว่ามันจะอายุยังน้อย ทว่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมีนิสัยเลือดเย็นเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เกิด เรื่องนี้จึงพูดได้ยาก”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งมาโยนให้เจียวน้อย มันกลืนลงไปตามสัญชาตญาณ สีหน้าคล้ายจะเลื่อนลอยเล็กน้อย

เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยให้มันกลับไป

เจียวน้อยบิดตัวกลับเข้าไปในมหาสมุทร แค่ร้องคร่ำครวญเบาๆ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อยากขยับออกห่างจากน่านน้ำทะเลของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันคิดแล้วก็ขว้างหินดีงูธรรมดากำใหญ่ไปกลางทะเล

เจียวน้อยว่ายน้ำไปอย่างบ้าคลั่งจนเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว ไล่กลืนหินดีงูแต่ละก้อนที่สำหรับมันแล้วเป็นเหมือนอาหารเลิศรส

สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือพูดกับมันว่า “วันหน้าจงตั้งใจฝึกตนให้ดี วันนี้เจ้าได้รับบุญคุณจากข้า หากยังชอบทำร้ายผู้คนเหมือนเจียวเฒ่าตัวนั้น ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว”

เจียวหลงกลับมาหยุดอยู่ข้างท่าเรืออีกครั้ง ชูศีรษะขึ้นสูงเหนือท่าเรือ เบิกตากว้างคล้ายต้องการจดจำใบหน้าของเฉินผิงอันไว้ให้แม่น

ครู่หนึ่งต่อมา มันถึงทิ้งตัวไปด้านหลัง กลับคืนสู่ทะเลกว้างอีกครั้ง

คนพายเรือเฒ่าผ่านมรสุมมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ามีเจตนาดีจึงผูกบุญสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ ไม่แน่เสมอไปว่าทำดีแล้วจะได้ดีตอบแทน”

สีหน้าของเฉินผิงอันเฉยเมย มองไปยังผิวน้ำทะเลที่แสงดาวส่องประกายระยิบระยับเหมือนเศษเงินเศษทอง เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็สะบั้นมันด้วยกระบี่เดียว”

ตอนนั้นคนพายเรือเฒ่านึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนที่ไม่รู้จะหายตัวไปอีกกี่ร้อยปี และยังมีตำราสีทองที่เซียนทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ซึ่งเฉินผิงอันนำมามอบให้เขา จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเฉินผิงอัน

……

สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย

ปีนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ออกเดินทางจากต้าหลีมาด้วยกันมาถึงภูเขาตงซานลูกนี้ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันอย่างในวันวานอีกแล้ว

หลี่ไหวได้รู้จักเพื่อนใหม่สองคน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ขี้ขลาดมาก อีกคนหนึ่งคือเด็กซุกซนตระกูลยากจนที่ใจกล้าเทียมฟ้า คนทั้งสองต่างก็อายุมากกว่าหลี่ไหวเล็กน้อย เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่งทั้งวัน สนุกสนานกันอย่างเต็มคราบ

หลินโส่วอีตอนนี้ตั้งใจมานะฝึกตน อ่านตำราทุกเล่มจนครบถ้วน ไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างห้องหนังสือ หอพักและห้องเรียน โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่

อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยอย่างมากจนกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน ยิ่งนานวันเกาเซวียนก็ยิ่งชอบมาตกปลาเป็นเพื่อนอวี๋ลู่ที่สำนักศึกษา

ส่วนเซี่ยเซี่ยที่นอกจากจะไปฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนแล้ว ทุกวันมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ให้กับชุยตงซานด้วยความยินดี

หลังจากคราวก่อนที่หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายที่อาจารย์อาน้อยส่งมาให้ ภายหลังเป็นช่วงระยะเวลายาวนานมากที่แม่นางน้อยเหมือนจะซึมไป

วันนี้นางโดดเรียนอีกแล้ว นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาของภูเขาตงซานอย่างว่องไวเหมือนแมวป่าตัวน้อยที่คล่องแคล่วปราดเปรียว นางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ เอนหลังพิงลำต้น ตรงคอยังคงแขวนแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่าผู้นำแห่งยุทธภพแผ่นนั้น ภายหลังนางรู้สึกว่ายังไม่น่าเกรงขามมากพอจึงสลักคำว่า ‘ผู้ออกคำสั่งแก่กลุ่มวีรบุรุษ’ เพิ่มเข้าไปอีก หลังจากนั้นพอได้เริ่มแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ แผ่นไม้เล็กๆ ถูกนางสลักถ้อยคำห้าวเหิมเปี่ยมกลิ่นอายในยุทธภพไว้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนคัดลอกมาจากหนังสือนิยาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคทำนองว่า ‘เจ็บใจก็แต่นับจากนี้ไปชีวิตนี้คงไร้ศัตรูทัดทาน’ เป็นต้น

เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ข้างกัน ร่างของเขาโยกขึ้นลงน้อยๆ ไปตามกิ่งไม้ ถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป โกรธหรือ?”

หลังจากเข้าหน้าร้อน แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็เปลี่ยนมาเป็นแม่นางน้อยชุดตัวบางสีแดง นางกล่าวเสียงขุ่น “ ไม่ได้โกรธ”

ชุยตงซานถาม “รู้สึกว่าพวกหลี่ไหว หลินโส่วอีห่างเหินจากเจ้าไปทุกทีใช่หรือไม่?”

แม่นางน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ห่างเหินจากข้าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ข้าก็ไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาอยู่แล้ว”

ชุยตงซานยิ้มอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาจารย์ของข้าล่ะสิ?”

แม่นางน้อยมีนิสัยตรงไปตรงมาจึงพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย “อืม”

ชุยตงซานสอดมือสองข้างรองไว้ที่ท้ายทอย พูดเหมือนปลงอนิจจัง “ทุกคนล้วนต้องเติบโต พอโตขึ้นแล้วก็มักจะหยิบของใหม่ โยนของเก่าบางอย่างทิ้ง เก็บๆ ทิ้งๆ อยู่อย่างนี้ แปบเดียวก็แก่แล้ว”

แม่นางน้อยเดือดดาล “อาจารย์อาน้อย พวกเขาก็ตัดใจทิ้งได้อย่างนั้นหรือ?!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!