วันนี้เมื่อเฉินผิงอันฝึกท่าหมัดสุดท้ายเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างโต๊ะเงียบๆ หยิบไม้ไผ่แผ่นเล็กสีเขียวสดปลั่งน่ารักชิ้นหนึ่งออกมา มันไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่อื่นๆ เพราะไม่ได้สลักถ้อยคำที่สละสลวยงดงามเอาไว้ แต่เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่เฉินผิงอันเอาไว้ใช้คิดคำนวณว่าตอนไหนฝึกได้หนึ่งแสนหมัด สองแสนหมัด ห้าแสนหมัด ขั้นตอนคร่าวๆ ล้วนถูกสลักไว้บนนั้น
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือไปลูบคลำร่องรอยแต่ละขีดที่อยู่บนนั้นอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะมีร่องรอยที่ขีดไว้หลังต่อยได้หนึ่งพันหมัดหรือหลายร้อยหมัด ในช่วงเวลานั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันหงุดหงิดมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่จากลากับอาจารย์ฉีที่วัดร้าง หรือช่วงแรกๆ หลังจากที่เกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นหายนะมา และยังมีช่วงเวลาอีกมากมายที่ไม่มีใครรับรู้ สรุปก็คือการฝึกหมัดตอนที่จิตใจไม่สงบ ต่อให้จะออกหมัดหรือฝึกเดินนิ่งได้มากแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางนับรวมเข้าไปในเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง
และหมัดหนึ่งล้านครั้งก็สำเร็จลงเช่นนี้
สงบเรียบง่าย ขอบเขตสี่ยังคงเป็นขอบเขตสี่ เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้น เพื่อนยากชิ้นนี้ถือว่าได้ปลดเสื้อเกราะกลับคืนภูมิลำเนาแล้ว เขาเลือกแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินใหม่เอี่ยมมาอีกแผ่นหนึ่ง กะว่าหนึ่งล้านหมัดหลังจากนี้จะสลักลงไปบนมัน
แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องคล้ายเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพูด พอเหนื่อยแล้วพวกมันก็นอนฟุบลงบนโต๊ะ บนพื้นและบนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น หรือบางทีการคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องจดจำก็ดีเหมือนกัน
เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นระลอกหนึ่ง เฉินผิงอันรีบดึงสติกลับมา ครั้งนี้ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร ทุกอย่างของเซียนกระบี่คนเฝ้าประตูท่านนี้ เฉินผิงอันล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงเวลาพูด สีหน้า ท่วงท่า ปณิธานกระบี่ ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาจนตรึงลึกอยู่ในความทรงจำ ต่อให้จังหวะเคาะประตูที่ไม่เร่งร้อนนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ปล่อยให้พลาดไป เวลาออกมาอยู่นอกบ้าน ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี ความสำคัญในการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาหมัดเลย
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ถามว่าใคร เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูโดยตรง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบงีบหลับผู้นั้นจริงดังคาด เขาเดินเข้ามาในห้อง วางเชือกสีทองเส้นเล็กบางอ่อนนุ่มเส้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ พูดยิ้มๆ ว่า “เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่ากลายเป็นสมบัติอาคมสมชื่อแล้ว ข้าไปหายอดฝีมือพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวมา เขาตัดหนวดเจียวยาวประมาณสองช่วงนิ้วหัวแม่มือเป็นค่าตอบแทนพอเป็นพิธี เพราะอันที่จริงวัตถุดิบวิเศษที่เขาเผาผลาญไปในการสร้างเชือกเส้นนี้ต้องมากกว่าความเสียหายเล็กน้อยนี้ของเจ้าแน่นอน ลำพังเพียงแค่ลายเมฆสามดอกซึ่งต้องลอกออกมาจากบทคำเขียวอย่างระมัดระวังก็ไม่ด้อยกว่าหนวดเจียวสองท่อนแล้ว การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ หาใช่เพื่อทวงความดีความชอบไม่ แค่เล่าให้ฟังตามตรงเท่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องกันแล้วที่อีกฝ่ายยอมช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าของแม่หนูหนิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เทียบไม่ติดอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตลอดเวลา พออีกฝ่ายพูดจบก็กุมหมัดขอบคุณ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาก”
บุรุษที่ยังคงเอากระบี่วางไว้บนเสาผูกม้าโบกมือ ชี้ไปที่เชือกพันธนาการปีศาจสีทอง “หลังจากชุบหลอมอย่างคร่าวๆ แล้วจิตใจจะสื่อถึงกัน เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็ยากจะหนีพ้นพันธนาการไปได้ เพียงแต่ว่าหากเผชิญกับขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดกลับประคับประคองตัวอยู่ได้ไม่นานนัก หากต่ำกว่าโอสถทองลงไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสลัดได้หลุด การที่เชือกพันธนาการปีศาจเป็นที่นิยมไปทั่วหล้า โดยเฉพาะเชือกพันธนาการปีศาจที่มีระดับสูงๆ ที่ผู้ฝึกลมปราณซึ่งเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศชื่นชอบมากที่สุด เป็นรองข้องราชามังกรไม่มากนัก พิชิตศัตรูได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่ ‘แค่กระบวนท่าเดียว ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง’”
บุรุษพลันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอันจึงถามว่า “มีอะไรรึ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าควรจะชุบหลอมสมบัติอาคมอย่างไร”
บุรุษกล่าวกลั้วยิ้มอย่างฉุนๆ “เฉินผิงอัน เจ้ากำลังพูดเรื่องตลก หรือเจ้าคิดว่าข้าปั่นหัวได้ง่ายกันแน่? กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากไม่เป็นเพราะชุบหลอมได้สำเร็จ…”
ไม่เสียแรงที่บุรุษคือเซียนกระบี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สีหน้าเขาเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันอยู่หลายครั้งแล้วพยักหน้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก ยิ่งไม่ซักไซ้ไล่เรียง เพียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนบทท่องพื้นๆ ในการชุบหลอมสมบัติอาคมให้แก่เจ้าหนึ่งบท วางใจเถอะ ไม่ต้องคิดว่าติดค้างอะไรข้า บทท่องนี้เป็นบทที่คนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้กันให้เกร่อ เจ้าก็คิดซะว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน อีกอย่างใช้บทนี้หล่อหลอมวัตถุ ข้อดีคือเอามาใช้ได้ง่าย ข้อเสียก็คือหากใช้บทท่องนี้มาชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจให้จำแลงเป็นภาพมายา แล้วถูกเซียนพสุธาบังคับช่วงชิงเอาไป ก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะทำลายตราผนึกของเจ้า และเพียงไม่นานมันก็จะกลายไปเป็นของในกระเป๋าผู้อื่น”
บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นวันหน้าถ้าพบเจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งในใต้หล้าไพศาล หากไม่จำเป็นจริงๆ หนีได้ก็หนีไป แล้วก็ไม่ต้องเอาของสิ่งนี้ออกมาด้วย อย่าคิดหวังว่าจะใช้มันทำให้ศัตรูล่าถอย จะได้ไม่ต้องกลายเป็นกุมารแจกสมบัติไปซะ เอาล่ะ ข้าอยู่นานไม่ได้ ข้าจะใช้เสียงทางใจถ่ายทอดบทท่องและเรื่องที่ควรระวังบางเรื่องให้กับเจ้า หากรอบเดียวจำไม่ได้ ข้าจะพูดให้ฟังสองรอบ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ทะเลสาบในหัวใจกระเพื่อมเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของเซียนกระบี่ดังขึ้นในหัวใจอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันตั้งใจจดจำเอาไว้
ผู้ฝึกกระบี่ถาม “จำได้กี่ส่วน?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “จำได้ทั้งหมด แต่ท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดพูดอีกรอบด้วยเถอะ”
เซียนกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้านี่ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ นะ”
เซียนกระบี่ไม่ได้รู้สึกยุ่งยากใจอะไร กลับกันยังรู้สึกชื่นชมความตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเฉินผิงอันด้วย เขาจึงถ่ายทอดบทท่องซ้ำอีกรอบ เมื่อเทียบกับครั้งแรก คราวนี้เขาเสริมความเข้าใจที่บรรลุมาจากการยืนอยู่บนที่สูงของตนเข้าไปด้วย เฉินผิงอันในเวลานี้ย่อมสัมผัสไม่ถึง เขาได้แต่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น
บุรุษไม่ใช่คนนิสัยยืดยาดอืดอาด ท่องคาถาจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป เพียงแต่ก่อนจะเดินออกจากห้องยังหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “คนรุ่นหนิงเหยามีพรสวรรค์ดีเยี่ยมยิ่งนัก ดีจนถึงขั้นที่ทำให้ตาแก่ทุกคนยิ้มหวานได้แม้แต่ในความฝัน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ห้าคนสิบคน แต่มากถึงสามสิบกว่าคน ดังนั้นใต้หล้าแห่งนั้นย่อมไม่อยู่เฉยรอความตายแน่นอน อีกอย่างปีศาจใหญ่อายุน้อยที่เอาชนะข้าได้ตนนั้นก็มีชื่อเสียงมาก ไม่แน่เสมอไปว่ามันจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจอกับช่วงปียิ่งใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง หลายร้อยปีมานี้หลังจากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเผ่าปีศาจ ทำให้ข้าค้นพบว่ามีเรื่องที่ประหลาดมากอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ฝีมือเป็นรองแม่หนูหนิงแค่ครึ่งขั้นหรือหนึ่งขั้นของทางฝั่งนั้นกลับพากันหลบเลี่ยงซ่อนตัว นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ดังนั้นข้าเลยเป็นกังวล รู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกำลังวางแผนการที่ยิ่งใหญ่อะไรบางอย่าง ศึกสิบสามก็เป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้น”
เห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟัง บุรุษก็เอ่ยเยาะตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”
เฉินผิงอันยืนกรานจะไปส่งผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ พอไปถึงตรอกนอกโรงเตี๊ยม เซียนกระบี่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าไม่เกรงใจ ตอนนี้กลับเกรงใจกันขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”
เซียนกระบี่กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากผืนดิน มุ่งหน้าไปยังตีนเขาเดียวดาย พริบตาเดียวปราณกระบี่ที่แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ไพศาลก็จากไปไกลในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แล้วก็จริงดังคาด คนหลายคนที่อยู่ตรงโรงเตี๊ยมหันมามองหน้ากันเอง ส่วนเถ้าแก่หนุ่มที่ยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเสียงดังต๊อกแต๊ก มองดูเหมือนไม่ได้สนใจใยดี แต่อันที่จริงมุมปากกลับยกยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!