เขาจะอัญเชิญเทพลงมาอีกครั้ง!
กิ่งของต้นไม้ใหญ่เหมือนแส้เส้นยาวหลายเส้นที่ฟาดโบยลงมาบนร่างของเฉินผิงอันอย่างรุนแรง ระหว่างที่เบี่ยงตัวหลบพวกมัน เฉินผิงอันยังต้องคอยเบี่ยงหลบแสงกระบี่สีเขียวสองเส้นที่อันตรายอย่างถึงที่สุด ชั่วขณะนั้นเขาพลันตกอยู่ในอันตรายที่รายล้อมรอบด้าน
ยังดีที่เพียงไม่นานลู่ไถก็ส่งเสียงทางจิตมาบอกว่าควรจะรับมือกับต้นไม้โบราณพวกนั้นอย่างไร หลังจากนั้นทุกหมัดของเฉินผิงอันจึงต่อยลงบนตัวอักษรตัวเล็กๆ ที่ร้อยเรียงกันและถูกอำพรางไว้บนต้นไม้ใหญ่ให้แตกละเอียดได้อย่างแม่นยำ มีเพียงเฉินผิงอันต่อยคาถาเหล่านั้นให้แหลกสลายได้สำเร็จ ถึงจะมีภาพที่ประกายแสงสีเงินแตกพร่าง แล้วต้นไม้ใหญ่ก็ล้มลงตามไป อีกทั้งต้นไม้ที่เดิมทีเป็นสีเขียวชอุ่มก็ยิ่งแห้งเหี่ยวลงในบัดดล
ลู่ไถยังเตือนเฉินผิงอันว่า เวลาชั่วดีดนิ้วยี่สิบครั้งที่นักพรตพรรคมหายันต์ซึ่งเป็นคนกักกระบี่บินทั้งสองเล่มบอกไว้อาจไม่จริงเสมอไป มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสามสิบครั้ง หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ น่าจะเป็นเพราะไม่สามารถวอกแวกได้ หลังจากที่เขาทำลายต้นไม้โบราณประหลาดจนหมด ชายฉกรรจ์ที่ทิ้งแส้เหล็กไปแล้วก็อัญเชิญเทพได้สำเร็จ ดวงตาของเขาเป็นสีขาวหิมะ ไม่เหมือนสายตาของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนองค์เทพองค์หนึ่งที่หลุบตามองต่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างเย็นชาเสียมากกว่า
แต่ในใจลู่ไถกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะเขาสังเกตได้ว่า หลังจากฟังคำเตือนของเขาจบ ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันกลับไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมไหว เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกับแผนการของนักพรตเฒ่าอยู่แล้ว จิตใจของเขาถึงได้สงบนิ่งขนาดนี้
อายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพนี่นา
ลู่ไถใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันลำต้นของต้นไม้ เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่เข่นฆ่ากับผู้กล้าของแต่ละฝ่ายอุตลุดแล้ว ทางฝ่ายของเขากลับน่าเบื่ออย่างมาก
‘เจินเจียน’ กระบี่บินของเขาสังหารอาจารย์คุมทัพผู้นั้นไม่ได้แล้ว วิญญาณควันดำที่โผล่ออกมาจากในหม้อดินเผาก็ทำอะไรลู่ไถไม่ได้เหมือนกัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่ไถยังเอาเชือกห้าสีเส้นหนึ่งออกมารัดไว้ที่ข้อมือ แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะเทียบกับสายรัดเอวหลากสีของชุดสตรีไม่ได้ ห่างชั้นกันถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่ถือเป็นสมบัติอาคมที่ไม่เลว เชือกห้าสีที่รัดพันอยู่ตรงข้อมือแบ่งออกเป็นเชือกซู่มิ่งซิน สามารถเพิ่มระดับการดูดซับปราณวิญญาณ เชือกพี่ปิงเจิง ฟันแทงไม่เข้า แน่นอนว่าไม่ใช่อาวุธทุกชนิดที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หาไม่แล้วระดับขั้นก็ต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ไม่ใช่สมบัติอาคมแล้ว เชือกปี้เสียซั่ว ตรงปลายของเชือกเส้นนี้จะเหมือนงูตัวเล็กเฉลียวฉลาดที่ผงกศีรษะขึ้น สามารถปัดเป่าให้ไอความชั่วร้ายสลายไปได้ เชือกถู่เจี้ยนซือ สามารถบินแยกออกไปเพียงลำพัง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินเล่มหนึ่งที่อาจารย์กระบี่เป็นผู้ควบคุม สุดท้ายคือเชือกพันธนาการปีศาจเส้นเล็กจิ๋ว
ความแข็งแกร่งของสมบัติอาคมชิ้นนี้ของลู่ไถอยู่ที่ว่ามันครอบคลุมรอบด้าน ได้ทั้งรุกและรับ
แต่เอาเข้าจริงแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตโอสถทองที่มีขอบเขตสูงกว่าคนปกติทั่วไปหนึ่งถึงสองระดับ ไม่ว่าใครก็กลัวเสียเวลา กลัวมดกัดช้างตายกันทั้งนั้น
ยังดีที่วันนี้เฉินผิงอันช่วยถ่วงกำลังหลักของศัตรูเอาไว้ ลู่ไถที่ ‘อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ’ จึงเกิดความละอายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คราวนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นรวมตัวกันมาล้อมโจมตีพวกเขา อีกทั้งยังตัดสินใจกันอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมติดตามพวกเขามาไกลถึงหนึ่งพันลี้
สนามรบทางทิศเหนือ ดูท่าผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นคงเสียดายควันดำที่สลายไปอย่างต่อเนื่อง จึงหันไปตะโกนเสียงดังใส่นักพรตเฒ่าว่า “ยังมียันต์บ่อแห้งอีกหรือไม่ ถ้ามีก็รีบโยนออกมาอีกแผ่น ขอติดไว้ก่อน วันหน้าข้ากับเขาจะช่วยกันใช้หนี้ให้เจ้าเอง!”
นักพรตเฒ่าโมโจจนเต้นผาง สบถด่า “มีกับบิดาเจ้าสิ!”
ผู้ฝึกตนลัทธิมารโมโหอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้ คิดเอาว่าวันเวลายังอีกยาวไกล วันหน้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้านักพรตเฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นคนนี้ให้จงได้
เดิมทีนักพรตเฒ่าก็ดูแคลนผู้ฝึกตนลัทธิมารที่จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิงผู้นั้นอยู่แล้ว และราวกับกลัวว่าเวลาชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจะสิ้นสุดลง จึงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบคล้ายเตรียมการอะไรบางอย่าง
ยิ่งนานแรงสั่นสะเทือนของยันต์สองแผ่นที่กักกระบี่บินไว้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นักพรตเฒ่ามีความลำบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ย
ตอนแรกที่เขาพูดเสียงดังว่าสามารถกักกระบี่บินได้แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งนั้น ก็เป็นอย่างที่ลู่ไถคาดเดาไว้ เขาจงใจหลอกเฉินผิงอัน หวังให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อผ่านชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งไปแล้วจะสามารถเอากระบี่กลับคืนไปได้ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเปิดฉากสังหารอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้นักพรตเฒ่าเป็นเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียนที่ต่อให้ขมแค่ไหนก็บอกใครไม่ได้ ที่แท้ยันต์วิเศษสองแผ่นที่มีมูลค่าควรเมืองนั้น สามารถกักกระบี่บินไว้ได้แค่ชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจริงๆ ไม่ใช่สี่สิบครั้งอย่างที่คาดการณ์เอาไว้!
ยันต์มีชื่อว่ายันต์บ่อแห้ง
สามารถสยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้
ใช้ไม้ที่ถูกสายฟ้าผ่ามาทำเป็นตะปูเล็กๆ เจ็ดตัว วาดเรียงเป็นรูปดาวไถ ใช้เวทลับสลักเข้าไปในกระดาษยันต์พิเศษ ผสมกับดินที่หล่นลงมาจากช่วงปลายของลมพายุอีกหนึ่งตำลึง ต้องเป็นลมตะวันตกเฉียงเหนือหนึ่งในลมแปดทิศด้วย บนยันต์วาดเป็นภาพที่กระบี่ถูกกักขังอยู่ในบ่อ ด้านหลังกระดาษเขียนสองคำว่า ‘ไม่ขยับ’ นี่ถึงจะเป็นลำต้นหลัก ส่วน ‘กิ่งก้าน’ ที่เหลือของยันต์ยังต้องใช้ขั้นตอนอีกมาก
นี่คือยันต์ลับชั้นสูงชนิดหนึ่งของสำนักนอกรีตของพรรคมหายันต์ในใบถงทวีป แม้ว่าจะเทียบกับ ‘ยันต์ฝักกระบี่’ และ ‘ยันต์ผนึกภูเขา’ ที่ลู่ไถกล่าวถึงไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจดูแคลน เพราะมันคือยันต์คุ้มกันกายที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางใช้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ มูลค่ามากเท่าทองพันชั่ง
การศึกษายันต์บ่อแห้งที่มีรายละเอียดยิบย่อยทั้งเสียเวลาและยิ่งเสียเงิน
ขอแค่เรียกยันต์ชิ้นนี้ออกมา เมื่อเจอกระบี่บินในรัศมีสิบจั้งก็จะสามารถทำให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เหมือนคนที่ยืนอยู่ในบ่อ ไม่สามารถขยับตัวกระดุกกระดิกได้
ระดับยันต์สูงหรือต่ำก็ต้องดูที่ว่าสามารถกักกระบี่บินไว้ได้นานแค่ไหน
หากคิดจะคลายผนึกก็จำเป็นต้องท่องคาถาสะบัดแขนเสื้อลมโชย กระบี่บินที่ ‘อยู่ในบ่อ’ จึงจะจากไปได้อย่างอิสระ
คนอื่นใช้เวลาสิบปีในการขัดเกลาหนึ่งกระบี่ แต่นักพรตเฒ่ากลับใช้เวลาสิบปีศึกษาหนึ่งยันต์ ไม่ว่าจะทะนุถนอมและเห็นค่าแค่ไหนก็ไม่เกินเลยสักนิด
สนามรบทั้งสองแห่ง ศึกใหญ่กำลังปะทุอย่างดุเดือด
ในป่าลึกกลางภูเขามีคนสองคนมองมายังที่แห่งนี้อยู่ไกลๆ
นั่งดูไฟชายฝั่ง
คนผู้หนึ่งก็คือลูกค้าที่แย่งชิงสัตว์มันแพะกับลู่ไถในร้านค้าของสำนักฝูจง ร่างเตี้ยม่อต้อ รูปโฉมไม่สะดุดตา บนใบหน้ามีแววลำพองใจเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งคือมือกระบี่ชุดแดงที่ตรงเอวห้อยกระบี่ยาว เรือนกายเพรียวบาง ท่วงท่าน่าเกรงขาม เวลานี้กำลังจับด้ามกระบี่มองสถานการณ์การต่อสู้ของของทางฝั่งนั้นพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตอนนี้มาลองดูแล้ว โชคดีที่เจ้ารู้จักระมัดระวังตัว ช่วยลดปัญหาให้ข้าได้ไม่น้อย”
บุรุษชุดแดงคือมือกระบี่ที่มีวิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง
เมื่ออยู่ในยุทธภพล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีกระบี่สมชื่อแล้ว แม้จะมีอายุถึงเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้าก็ยังเยาว์วัยหล่อเหลา ตลอดหลายสิบปีมานี้เขาขี่กระบี่ทะยานไปหลายสิบแคว้น น้อยครั้งที่จะพบคนที่มีฝีมือพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่ยาวที่เขาพกไว้ตรงเอวคือสมบัติของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่คมกริบอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธ์มือกระบี่คนนี้กล้าพูดว่าเมื่อตนเจอกับ ‘ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินโอสถทอง หนึ่งกระบี่ทำร้ายศัตรู ต่ำกว่าประตูมังกร หนึ่งกระบี่ปลิดชีพ’ อีกทั้งไม่ว่าจะคนบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็น้อยนักที่จะมีใครกังขาในตัวเขา
ชื่อเสียงบารมีเลื่องลือ อีกทั้งยังรูปงามไร้ผู้ใดจะทัดเทียม ไม่รู้ว่ามีสตรีมากน้อยแค่ไหนที่เลื่อมใสศรัทธาเซียนกระบี่แห่งยุทธภพที่ไม่หวังเป็นอมตะท่านนี้ ถึงขั้นมีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าฮองเฮาสกุลจ้าวของแคว้นอวิ๋นลู่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับคนผู้นี้ ส่วนพวกเทพธิดาและจอมยุทธ์หญิงมีชื่อเสียงในยุทธภพที่เลื่อมใสเซียนกระบี่ชุดแดงผู้นี้ก็ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน
ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ความระมัดระวังตัวของข้าผู้แซ่หม่าเป็นไปเองตามความเคยชิน ตอนยังหนุ่มเคยลำบากและเสียเปรียบคนอื่นมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงจำเรื่องหนึ่งไว้ขึ้นใจ นั่นคือเมื่อรับมือกับเซียนซือที่มีชาติกำเนิดดีพวกนี้ พวกเราที่อยู่ในยุทธภพต้องทำตัวเหมือนสิงโตจับกระต่าย จับได้แล้วต้องกินพวกเขาให้หมดในคราวเดียว หาไม่แล้วต่อให้โชคดีเอาชนะได้ก็เป็นชัยชนะแบบอเนจอนาถ ผลเก็บเกี่ยวไม่มากพอ”
มือกระบี่ชุดแดงคลี่ยิ้ม “หม่าว่านฝ่า ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะช่วยพวกเจ้าคุมท้ายขบวนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน กระบี่เล่มที่เด็กหนุ่มชุดขาวสะพายอยู่ด้านหลังเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ต้องให้ข้าลงมือสังหารศัตรูด้วยตัวเองจริงๆ ถ้าเช่นนั้น…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!