ไม่ว่าอย่างไรเจ้าประมุขหลวนหยางก็คิดไม่ถึงว่า เซียนซือจากไท่ผิงซานที่ขอให้สหายสนิททุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญตัวมาจะกลับกลายมาเป็นตัวการหายนะที่แท้จริง
สี่มุมของห้องโถงใหญ่วางกระถางไฟไว้สี่ใบ กิ่งต้นสนต้นไป่ที่อยู่ด้านในเผาไหม้จนสิ้นซากไปนานแล้ว ก่อนหน้านี้เซียนซือท่านนั้นบอกว่าหอหลักแห่งนี้คือสถานที่สำคัญที่ภูตผีปีศาจปรารถนาอยากครอบครองมาเนิ่นนาน จึงจำเป็นต้องเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาเผาศาลรวมกับยันต์ที่มีเฉพาะในไท่ผิงซานมาจัดวางค่ายกลขจัดสิ่งสกปรก เมื่อทำเช่นนี้พวกผีร้ายนอกรีตที่มีใจชั่วร้ายก็จะไม่สามารถฉวยโอกาสกับป้อมอินทรีบินได้อีก
แถมยังบอกด้วยว่าต้องให้แน่ใจก่อนว่าในหอหลักแห่งนี้ปลอดภัย เขาถึงจะออกไปกำจัดปีศาจปราบมาร ผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์เพียงลำพัง
ป้อมอินทรีบินย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว
เมฆดำด้านนอกกดทับลงมาเหนือศีรษะจนผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือการก่อกวนจากภูตผีปีศาจตัวจริงเสียจริง คนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างพวกเขา เพื่อการคงอยู่ของตระกูล ให้ยกดาบปะทะกับศัตรู ต่อให้เจอกับเหล่าผู้กล้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งวิถีมารในแคว้นเฉินเซียง ก็ยังเห็นเป็นภารกิจพึงปฏิบัติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากต้องตายก็คือตาย
แต่จะให้พวกเขาไปรับมือกับภูตผีวัตถุหยิน แค่คิดก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญผวา ปราณหยางบนร่างคล้ายจะลดน้อยลงไปอีกหลายส่วน
ก่อนหน้านี้หลวนหยางไม่ได้เชื่อเซียนซือจากไท่ผิงซานท่านนี้จนหมดใจ ต่อให้คนผู้นี้จะมีมาดสูงส่งคล้ายเจ๋อเซียนที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวบนโลก ต่อให้มีสหายสนิทเป็นตัวกลางช่วยแนะนำ หลวนหยางก็ยังไม่กล้าประมาทง่ายๆ นี่คือสภาพจิตใจที่ตระกูลสูงศักดิ์ในยุทธภพจำเป็นต้องมี เป็นเหตุให้ตอนที่คนผู้นั้นจูงม้าขาวเดินไปตามตรอกเล็กใหญ่ หลวนหยางจึงให้ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่ใช้ข้ออ้างว่าช่วยนำทางติดตามไปด้วยระยะทางหนึ่ง กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ที่ติดไฟในเวลานั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมาปะทะจมูกซึ่งแผ่ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงอย่างแท้จริง
แม้ว่าเหอหยาที่จะพอเข้าใจวิชาอภินิหารอย่างหยาบๆ เพราะโชควาสนานำพา ไม่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แต่ในอดีตเคยติดตามนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วทิศ ถือเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง แน่ใจว่าวิธีการของเซียนซือท่านนี้เป็นวิธีการที่ตระกูลเซียนใช้กันอย่างเปิดเผย ป้อมอินทรีบินที่เดิมทีก็อับจนหนทางให้ไปต่อถึงได้วางใจลงอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเซียนซือชุดขาวท่านนั้นมือหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น อีกมือม้วนชายแขนเสื้อถือพู่กันจึงเขียนยันต์อักษรสีชาดภาพแล้วภาพเล่าลงบนเสาใหญ่ไม้หนานมู่ของห้องโถงใหญ่ได้อย่างราบรื่นดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเจริญตาเจริญใจ
เหอหยาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือของป้อมอินทรีบินยังถึงขั้นยืนประกบซ้ายขวา คอยช่วยถือตลับชาดสีแดงสดชุ่มราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ให้แก่เซียนซือท่านนั้นด้วยตัวเอง
ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหอหยากลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ถลึงตาปูดโปน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจ้องมองเซียนซือชุดขาวที่ยืนอยู่ระหว่างหลวนหยางและฮูหยินเขม็ง สีหน้าเหมือนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของคนผู้นี้เต็มที
เขาแก่ปูนนี้ มองโลกอย่างเรียบง่ายมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีลูกหลาน ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ล้วนถือเป็นความกรุณาที่สวรรค์มอบให้เป็นพิเศษ จะต้องกลัวตายไปทำไม? แต่เหอหยาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลหลวนได้อย่างไร
คนที่มีสิทธิ์นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าแซ่หลวนของป้อมอินทรีบินที่อายุมากแล้ว บวกกับที่การเข่นฆ่าสังหารในตรอกเล็กของปีนั้นทำให้คนส่วนใหญ่สั่งสมอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เลือดลมเสื่อมถอย พอสูดควันจากกิ่งสนกิ่งไป่จากในกระถางไฟเผาศาลนั่นเข้าไป แต่ละคนจึงหน้าดำคล้ำ แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง เกรงว่าไม่ต้องให้บุรุษชุดขาวลงมือ พวกเขาก็คงขาดใจตายไปเองก่อนแล้ว
ส่วนลูกหลานอายุน้อยที่ไม่มีที่นั่ง พวกเขาล้วนยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสในฝ่ายของตัวเอง พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์ไม่สูง แต่ละคนนอนพังพาบอยู่บนพื้น ต้นกล้าที่มีตบะดีบางคนยังพอจะนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ พยายามให้ตัวเองรักษาสติไว้ให้ได้มากที่สุด
บุรุษชุดขาวร่างสูงใหญ่ยังคงลูบแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือชิ้นนั้น เพียงแต่มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนบ่าของหลวนหยางเจ้าปราสาทเบาๆ พลางยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าประมุขหลวนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองชักนำหมาป่าเข้าบ้าน ข้าเล่นงานป้อมอินทรีบินเช่นนี้ก็แค่เพราะอยากจะประหยัดแรงสักหน่อย หากเปิดฉากสังหารขึ้นมาจริงๆ ชายชาตรีที่มีวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าคงหนีพ้นความตายไปไม่ได้ ตั้งใจวางแผนมาหลายสิบปี คนมีใจเล่นงานคนไร้เจตนา หรือคนบนภูเขาเล่นงานคนล่างภูเขา พวกเจ้าไม่ตายแล้วใครจะตายล่ะ?”
ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลวนหยางตัวสั่นสะท้าน บรรดาคนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ มีเพียงนางที่สีหน้าเป็นปกติ คงเป็นเพราะไม่ได้รับควันพิษพวกนั้น แต่นางตกใจจนเสียขวัญมานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาในป้อมอินทรีบิน อีกทั้งยังเป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากบางครั้งที่ออกไปท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยไปไกลจากป้อมอินทรีบินเกินร้อยลี้ด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทนรับกับมรสุมครั้งนี้ได้?
บุรุษร่างสูงใหญ่ยกมือออกจากไหล่ของหลวนหยางมาบิดใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว การกระทำนุ่มนวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา
แต่กลับไม่ใช่สายตาหื่นกามของบุรุษที่ปรารถนาในตัวสาวงาม เป็นสายตาของช่างคนหนึ่งที่มองผลงานชิ้นหนึ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตเสียมากกว่า
เขาดึงมือกลับอย่างอาลัยอาวรณ์ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่การต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุครั้งนั้นไม่ได้เดือดร้อนมาถึงป้อมอินทรีบินของพวกเรา หากถูกคนมีใจมองแผนการครั้งนี้ออก สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็เท่ากับขาดทุนย่อยยับ อันที่จริงตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังสามารถเสพสุขกับวันเวลาอันสงบสุขไปได้อีกครึ่งปี แต่อาจารย์ของข้ากังวลจริงๆ ว่าหากพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกันที่พยายามทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดไปดึงดูดความสนใจของสำนักฝูจีขึ้นมาอีกครั้ง แบบนั้นจะทำอย่างไร? ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายลับจึงรีบเดินทางมาทันที”
ในห้องโถงใหญ่ไม่มีใครเปิดปากพูดได้ ดังนั้นเซียนซือท่านนี้จึงรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีใครเออออคล้อยตาม จึงเหมือนมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในความสมบูรณ์แบบ
บุรุษร่างสูงใหญ่มองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่แล้วพูดถากถาง “พวกเจ้าแอบคิดว่าตัวเองจะโชคดี คิดว่านักพรตเฒ่าและนักพรตน้อยคู่นั้นจะช่วยพวกเจ้าได้ใช่ไหม? ขอแนะนำพวกเจ้าว่าจงตัดใจซะเถอะ ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าคนหนึ่ง ข้าไม่ตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ถือว่าเขาโชคดีแล้ว การที่ข้าไม่แตะต้องเขา ก็เพราะว่าปราณวิญญาณและเลือดลมอันน้อยนิดของพวกเขาสองคนยังพอจะมีประโยชน์เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรอยู่บ้าง”
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้คงไม่ใส่ยาลับลงไปในกระถางไฟมากมายถึงเพียงนั้น คนเป็นใบ้กันทั้งห้อง แม้แต่ด่าสักคำยังทำไม่ได้ ยิ่งอย่าหวังว่าจะเห็นภาพพวกเขาโขกหัวขอร้อง น่าเบื่อจริงๆ
ฉวยโอกาสที่อาจารย์ยังไม่ลงมือ บวกกับที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงขึ้นแล้ว เขาจึงอยากจะหาความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง พอกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดนิ่งที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่กำลังโคจรลมปราณกำจัดยาออกจากร่าง ก่อนหน้านี้มองไม่ออกจริงๆ ไม่นึกว่าสตรีเรือนกายเล็กบางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่อำพรางตัวได้อย่างมิดชิด สตรีมีตบะวรยุทธ์ในขั้นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง บีบคางนาง สตรีแต่งงานแล้วสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาคมปลาบ
เขายิ้มบางๆ หยิบขวดกระเบื้องที่ใสแวววาวจนส่องแทนกระจกได้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชำเลืองตาไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอ ทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้นนานแล้ว แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง ตาเหลือก ฟองขาวฟูมออกจากปาก ดูท่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ดวงตาของบุรุษเป็นประกาย น่าสนใจแหะ มีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่น้อย หากเอาไปโยนไว้ในพรรคลำดับสาม ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ได้รับความสำคัญคนหนึ่ง ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรให้ทำก็ผลักเรือตามน้ำสนับสนุนเขาสักครั้ง เจ้าเด็กนี่จะทำสำเร็จหรือไม่ จะสามารถมีชีวิตรอดไปเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักตนได้ไหม ก็ต้องดูที่วาสนาของเขาเองแล้ว
เพียงแต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหรือตายก็ล้วนมีโชควาสนาอันประเสริฐให้เสพสุข ส่วนคนอื่นๆ ในห้องโถงก็จะมีลาภตาให้มองกันจนอิ่ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!