หร่วนซิ่วพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวจบเหมือนท่องหนังสือ เซี่ยหลิงถึงกับคลี่ยิ้ม
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ดวงตาแวววาว
หร่วนซิ่วถอนหายใจหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างทดท้อเล็กน้อย “หลักการพวกนี้ล้วนเป็นบิดาที่บังคับให้ข้าท่องจำ ทำข้าลำบากแทบตายอยู่แล้ว”
เซี่ยหลิงหัวเราะจนหุบปากไม่ลง
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
หร่วนซิ่วเอ่ยกำชับ “ต่งกู่ วันหน้าเจ้าเลือกหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีๆ และวันฤกษ์งามยามดี ถึงเวลานั้นข้ากับเซี่ยหลิงจะปรากฏตัวตรงเวลา”
ต่งกู่พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
หร่วนซิ่วหยิบห่อผ้าเช็ดหน้าห่อหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นางไม่ได้เปิดมันออก แต่พูดกับคนทั้งสามว่า “กลับไปกันเถอะ”
เซี่ยหลิงอาศัยอยู่บนภูเขาอยู่แล้ว แต่ต่งกู่กลับสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ตีนเขา สวีเสี่ยวเฉียวก็ยิ่งอยู่ไกลถึงร้านกระบี่ริมลำคลองหลงซวี หร่วนฉงตั้งกฎเอาไว้ว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนบังคับลมบินทะยาน ดังนั้นจึงน่าสงสารต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวที่ต้องเดินเท้าลงภูเขาไป หร่วนซิ่วจึงพูดขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ลูกศิษย์สำนักกระบี่เฉวียนหลงอยากจะทะยานลมก็ทะยานลม คิดจะขี่กระบี่ก็ขี่กระบี่ อยู่ในถิ่นของตัวเอง ใครจะมาว่าอะไรพวกเจ้า? ท่านพ่อข้างั้นหรือ? เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เขาสนแค่ว่าพวกเจ้าจะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้หรือไม่ วันหน้าจะได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหรือไม่”
หร่วนซิ่วเอ่ยเสริมอีกว่า “เรื่องพวกนี้ข้าพูดเอง ท่านพ่อข้าไม่ได้สอน”
คนทั้งสามจึงแยกย้ายกันไป
หร่วนซิ่วทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งโยนใส่ปาก ยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่จากนั้นนางก็เบิกตากว้าง พยายามทำท่าให้ดูเคร่งขรึม มองไปทางสุนัขตัวนั้น แก้มของนางพองตูม คำพูดจึงฟังคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก “ต้องรู้จักทะนุถนอมวันเวลาที่ดีเอาไว้ อย่าเห่าใส่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่ออวดบารมีส่งเดช สนุกมากนักหรือ? ได้ยินว่ามีครั้งหนึ่งเจ้าเกือบจะกัดคนเดินเท้าให้บาดเจ็บ บอกให้เจ้าตั้งใจเฝ้าบ้านดีๆ เหตุใดเจ้าถึงขึ้นมาบนภูเขาโดยพลการ? หวังว่าข้าจะปกป้องเจ้างั้นหรือ?”
หร่วนซิ่วยกมือข้างหนึ่งขึ้น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตบให้เจ้าตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว?”
สุนัขตัวนั้นรีบนอนหมอบลงบนพื้น ร้องสะอื้นวิงวอน
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองมันด้วยสีหน้าที่ยังคงเย็นชา “หากไม่เป็นเพราะเขา ข้าก็คงกินเนื้อหมาตุ๋นได้หลายวันแล้ว”
สันหลังของสุนัขพันธ์พื้นบ้านสั่นระริก
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน ชี้ไปยังเส้นทางลงภูเขา “แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณเหล่านั้นก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยม เดิมทีเจ้าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง คิดจะแข็งข้องั้นรึ? ลงภูเขาไปเฝ้าบ้านซะ!”
สุนัขวิ่งพรวดเผ่นหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
มันที่ก่อนหน้านี้สติปัญญาถูกเปิดรู้สึกเพียงว่านางน่ารักน่าใกล้ชิด จนกระทั่งบัดนี้มันที่อาศัยสัญชาตญาณถึงเพิ่งค้นพบว่า แท้จริงแล้วนางไม่เคยมีความสงสารหรือความใกล้ชิดให้มันเลยแม้แต่นิดเดียว
หร่วนซิ่วเคี้ยวขนมกุ้ยฮวาชิ้นที่สอง ยกมือข้างหนึ่งมารองไว้ใกล้ๆ แก้ม ป้องกันไม่ให้เศษขนมร่วงตกลงพื้น
ของอร่อยแบบนี้ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติของเทพแม่น้ำเหล่านั้น เวลากินแล้วจะอร่อยเหมือนขนมกุ้ยฮวาหรือไม่
ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าร่างทองของพวกเขาสามารถบำรุงตบะของนางได้ดีที่สุด
กรุบๆๆ
แม่นางหร่วนซิ่วผู้นี้เริ่มรู้สึกน้ำลายสอ ต้องรีบยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก
……
ในฐานะอดีตหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู ช่วงแรกเริ่มสุดก่อนที่ราชวงศ์ต้าหลีจะลุกผงาด พวกเขาเคยผ่านความอดทนข่มกลั้นและต้องเผชิญกับความอัปยศมานับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อทำลายราชวงศ์สกุลหลูที่มองดูเหมือนไร้ศัตรูได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจของแคว้นหรือความมั่นใจของผู้คนในแคว้นก็ล้วนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานครั้งนี้ปิดฉากลง ตั้งแต่ขุนนางในราชสำนักที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือบู๊ ถึงทหารชายแดน จนไปถึงอาณาประชาราษฎร์ของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนมีความมั่นใจสูงสุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเคลื่อนขบวนม้าเหล็กกรีฑาทัพลงใต้
แต่ระหว่างนี้ก็ปรากฏเรื่องไม่คาดคิดบางอย่างขึ้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของชายแดนที่เคยชินกับศึกตัดสินเป็นตาย เคยชินกับสงครามที่ยากลำบาก รวมไปถึงผู้อาวุโสกรมกลาโหมที่นั่งวางแผนอยู่ในเมืองหลวงต่างก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นั่นก็เพราะการลงใต้ครั้งนี้ ทหารระดับล่างจนไปถึงทหารระดับกลางของกองทัพต้าหลีที่เคยชินกับการสู้รบต่างระแวดระวังภัยกันอย่างเต็มที่
ทว่าแรกเริ่มเลยก็เป็นศัตรูอันดับต้นๆ แห่งทิศเหนืออย่างสกุลเกาต้าสุยที่เลือกจะเป็นเต่าหดหัวในกระดอง หลบเลี่ยงการทำสงคราม หลังจากนั้นก็เป็นแคว้นในอาณัติหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงที่ฮ่องเต้ต่างก็เป็นฝ่ายยกเมืองให้ด้วยตัวเอง ยื่นตราลัญจกรหยกที่สืบทอดกันมาของแคว้นให้แก่แม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่ละสถานที่ก็มีแค่การต่อต้านแบบกระจัดกระจายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นี่ทำให้ทหารชายแดนของต้าหลีที่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบงงงันกันเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีฝีมือมากมาย แต่ไม่มีที่ให้เอามาใช้
พอขยับลงใต้ไปอีก ศึกสงครามเริ่มวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย แรกเริ่มคือมีกองทัพศัตรูที่จำนวนมากพอสมควรหลายกลุ่ม บ้างก็บุกเบิกพื้นที่กว้างขวาง รวบรวมกองกำลังมีฝีมือ เป็นฝ่ายยกทัพมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับกองทัพชายแดนต้าหลี บ้างก็อาศัยด่านที่อันตราย กำแพงเมืองที่สูงใหญ่ เอาแต่พิทักษ์เมืองไม่ยอมออกมาต่อสู้ บ้างก็เป็นแคว้นเล็กๆ หลายแคว้นที่หันมาร่วมมือเป็นพันธมิตร จับมือกันมาต้านทานกองทัพชายแดนต้าหลีที่บุกไปทางไหน ทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!