ในมือของเฉิงหยวนซานถือทวนเหล็กหนึ่งอัน สายตาจับจ้องมาที่จอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นเขม็ง
ส่วนหลิวจงคนลีบมีดกลับมองโจวเฝย แล้วค่อยชำเลืองมองเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า คล้ายว่ากำลังเลือกคู่ต่อสู้
เฝิงชิงป๋ายถอนหายใจ กำกระบี่ยาวในมือแน่น ปวดหัวอย่างถึงที่สุด หากที่พึ่งใหญ่ของตนยังไม่มา ตนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว ต่อให้ที่พึ่งใหญ่ไม่มา ขอแค่พี่น้องที่รักมาก็พอแล้ว
เฝิงชิงป๋ายดวงตาเป็นประกาย คลี่ยิ้มถูกใจ
ห่างออกไปไกลมีชายชุดดำลักษณะสุภาพสง่างาม ตรงเอวห้อยมีดยาวคนหนึ่งเดินมา
เฝิงชิงป๋ายยิ้มพลางโบกมือทักทาย “พี่ใหญ่ถัง มาแล้วหรือ?”
บุรุษวัยกลางคนพยักหน้ารับน้อยๆ
เฉิงหยวนซานใจกระตุก รู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย
ผู้ที่มาคือเสาหลักแห่งเป่ยจิ้น แม่ทัพใหญ่หลงอู่ ถังเถี่ยอี้ ในฐานะแม่ทัพอันดับหนึ่งของปัจจุบัน น้อยครั้งนักที่เขาจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกด้วยตัวเอง คนบนโลกจึงรู้แค่ว่าชาวบู๊ที่มีชาติตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้ชอบใช้มีด ทว่าวิชามีดตื้นหรือลึก ตบะสูงหรือต่ำ กลับไม่มีใครรู้ นอกจากจะนำทัพได้เชี่ยวชาญดุจเทพสงครามแล้ว ถังเถี่ยอี้กลับถูกผู้คนกล่าวขานถึงเรื่องส่วนตัวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งมากกว่า เล่าลือกันว่าคนผู้นี้ชื่นชอบการเขียนคิ้วมากเป็นพิเศษ เขาวาดคิ้วให้ภรรยาและอนุในรูปแบบต่างๆ และเมื่อผลงานของเขาปรากฏสู่ตลาด สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงของเป่ยจิ้นต่างก็พากันลอกเลียนแบบ
เฉิงหยวนซานเอ่ยเบาๆ “หลิวเหล่าเอ๋อร์ อย่าได้ประมาท ถังเถี่ยอี้ผู้นี้ใช้มีดได้อย่างเผด็จการ เชี่ยวชาญการตัดสินแพ้ชนะในมีดเดียว เป็นตายในสองมีด”
หลิวจงกล่าวอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ใช้มีด? ข้าไม่สนใจเขาหรอก”
เขาชี้ไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกล “เจ้าเด็กนั่น เป็นของข้า”
หลิวจงไม่แยแสเฉิงหยวนซานอีก เขาเดินดิ่งไปข้างหน้า แม้แต่เฝิงชิงป๋ายก็ไม่สนใจ เอาแต่เดินหน้าไปอย่างเดียว มือหนึ่งลูบคลำเส้นผมสีดอกเลาเบาๆ อีกมือหนึ่งซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานต้องรับมือกับยอดฝีมือถึงสองคน
แต่แล้วเฉิงหยวนซานก็ทำในสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน เขาถือทวนเดินไปข้างถนน เปิดทางให้กับถังเถี่ยอี้ ยื่นมือบอกเป็นนัยว่าเชิญไปรวมตัวกับเฝิงชิงป๋ายได้ตามสบาย เขาจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด
ตอนที่ถังเถี่ยอี้เดินผ่านข้างกายเฉิงหยวนซาน ยังไม่ลืมหันหน้าไปยิ้มถามเขาว่า “จะไม่รับมีดข้าสักสองทีจริงๆ หรือ? แค่สองมีดเท่านั้น รวดเร็วมากเลยล่ะ”
เฉิงหยวนซานหลับตาทำสมาธิไม่สนใจอีกฝ่าย
เฝิงชิงป๋ายรู้สึกนับถือปี้เซิ่งท่านนี้ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีอารมณ์ทำสมาธิได้อีก
ถังเถี่ยอี้เดินตรงไปหาเฝิงชิงป๋าย พูดเหมือนตำหนิ “คราวก่อนที่พบกัน ตกลงกันไว้แล้วว่าครั้งนี้เจ้าแค่มาจับปลาในน้ำขุ่นเท่านั้น เหตุใดถึงกลายเป็นรบแนวหน้าไปได้?”
เฝิงชิงป๋ายหัวเราะร่า “เสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวยอย่างไรล่ะ”
เมื่อปีก่อนคนทั้งสองรู้จักกันที่เมืองชายแดนแห่งหนึ่งของเป่ยจิ้น ตอนนั้นถังเถี่ยอี้เพิ่งจะยกทัพปราบปรามคนเถื่อนของทุ่งหญ้ากว้างให้ถอยร่นกลับไป จึงได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนทั้งสองเพิ่งพบกันก็เหมือนสนิทกันมาหลายปี เฝิงชิงป๋ายยังถึงขั้นอยู่ในกองทัพที่ถังเถี่ยอี้เป็นผู้นำนานเกินครึ่งปี เขาร่วมศึกใหญ่ครั้งหนึ่งด้วยสถานะของทหารสอดแนม หากไม่เป็นเพราะเฝิงชิงป๋ายยืนกรานจะท่องเที่ยวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำต่ออีกครั้ง ถังเถี่ยอี้ก็คิดจะขอตำแหน่งแม่ทัพจากฮ่องเต้แคว้นเป่ยจิ้นมาให้เขา
เฝิงชิงป๋ายได้พบกับคนที่คุ้นเคยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
ถังเถี่ยอี้หันหน้าไปมองปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่ยืนนิ่งไม่ขยับก่อน แล้วค่อยหันกลับมาถลึงตาใส่เฝิงชิงป๋าย “อวี๋เจินอี้ป่าวประกาศแล้วว่าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ขนาดข้าก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ตัวเจ้าเองจะไม่รู้เลยรึ? ตอนนี้มีคนมากเท่าไหร่ที่อยากได้ชีวิตน้อยๆ ของเจ้า เจ้านึกว่ามีแค่เฉิงหยวนซานคนเดียวจริงๆ รึไง?!”
เฝิงชิงป๋ายเม้มปากกลั้นยิ้ม
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ เรื่องราวนี้มากพอจะให้พวกเขาสองพี่น้องที่มาพบกันอีกครั้งในต่างถิ่นดื่มสุรารสเลิศร่วมกันหลายกา
แม้ถังเถี่ยอี้จะเกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าต่อให้เป็นในใบถงทวีป เฝิงชิงป๋ายก็ไม่เคยพบใครที่ถูกคอถูกใจเขาได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย พรสวรรค์เลิศล้ำ ฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นคำชื่นชมที่งดงามสักแค่ไหนก็ล้วนเอามาใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่ในอกอัดแน่นไปด้วยตำราพิชัยสงครามผู้นี้ได้
บทประพันธ์เป็นเพียงเรื่องเล็ก ยุทธภพก็เพียงเท่านี้
ต้องรู้ว่าบทประพันธ์ยิ่งใหญ่คือตำราพิชัยสงคราม วรยุทธ์ยิ่งใหญ่คือยุทธศาสตร์ทางทหาร
นี่ก็คือความคิดของถังเถี่ยอี้
เกรงว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวคงมีแค่ถังเถี่ยอี้คนเดียวที่คิดเช่นนี้
เฝิงชิงป๋ายคิดจะเล่นแง่สักหน่อย จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ขอแค่พี่ใหญ่ถังไม่ปรารถนาในศีรษะนี้ของข้า…”
ไม่รอให้เฝิงชิงป๋ายพูดจบ
เส้นสายตาของเขาก็ถูกกลบทับไปด้ายพายุมีดสีขาวหิมะที่ท่วมฟ้าถมดิน
นาทีสุดท้ายในชีวิต เฝิงชิงป๋ายมีเพียงความเลื่อนลอย
เจ๋อเซียนเฝิงชิงป๋ายถูกฟันออกเป็นสองท่อนคาที่ ร่างแต่ละครึ่งแยกกันกระแทกลงบนผนังสองฝั่งของถนน
ถังเถี่ยอี้เก็บมีดใส่ฝักช้าๆ
นั่นก็คือ ‘เลี่ยนซือ’ มีดปีศาจที่สูญหายไปหลายปีเล่มนั้น
หนึ่งในสี่โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ เทียบเคียงได้กับกวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของติงอิง ชุดกระโปรงสีเขียวของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน และร่างอรหันต์ทองคำของวัดป๋ายเหอ
สีหน้าของถังเถี่ยอี้ไม่มีทั้งความทุกข์และความสุข เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินทางมา เพิ่งจะได้ยินว่าเจ้าเลื่อนขั้นกลายเป็นสิบคนล่าสุดของใต้หล้า อยู่ในอันดับล่างสุด อันดับสิบ ตัวข้าเองก็อยู่บนรายชื่อนี้เช่นกัน นั่นคืออันดับที่เก้า เฝิงชิงป๋าย เจ้าคงเข้าใจว่าหลังจากได้พูดคุยกับอวี๋เจินอี้เป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่งแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้จนถึงท้ายที่สุด ซึ่งเดิมทีก็เป็นเช่นนั้นจริง และที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาช่วยเจ้าจริงๆ แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือ เจ้าไม่ควรอยู่อันดับสิบ ข้าอันดับเก้า สองพี่น้องไม่ควรอยู่บนรายชื่อในเวลาเดียวกัน”
ถังเถี่ยอี้ถอนหายใจน้อยๆ “เจ๋อเซียนก็ตายได้เหมือนกันนี่นะ”
หยิบกระบี่ที่อยู่บนพื้นเล่มนั้นมาห้อยไว้ตรงเอว ถังเถี่ยอี้จงใจเปิดเผยช่องโหว่ของตัวเองเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา
ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิ สำหรับเจ๋อเซียนที่ไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจนพวกนี้ นางไม่ได้มีอคติและความเกลียดแค้นมากนัก นางถึงขั้นไม่ฝันใฝ่ถึงการบินทะยานที่กล่าวถึงในตำนาน นางหลงรักโลกมนุษย์อันเป็นบ้านเกิดของตน คิดแค่อยากจะงัดข้อกับฝานกว่านเอ่อร์ที่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา พรสวรรค์หรือจิตใจทะเยอทะยานล้วนไม่แพ้ให้ตน ประคับประคองสนับสนุนองค์ชายรองให้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็รวบรวมสี่แคว้นให้เป็นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางเป็นฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน เป็นมารดาของแผ่นดินก็ดี หรือจะให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำยุทธภพรุ่นใหม่ต่อจากติงอิง อวี๋เจินอี้ก็ช่าง นางล้วนพึงพอใจมากแล้ว
เพียงแต่ว่าครั้งนี้หอจิ้งหย่างกับ ‘เทพเทวา’ ท่านนั้นกลับเลือกภูเขากู่หนิวของแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นสถานที่บินทะยาน ส่วนนางดันถูกท่านปู่ผู้นั้นหาตัวพบ กลายมาเป็นทหารแนวหน้า
นางเศร้าใจและขมขื่นอย่างยิ่ง อดหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหลังนั้นในตรอกไม่ได้
อาจารย์ปู่ของข้าหนอ ทำไมท่านไม่ออกมาทำอะไรสักหน่อยเล่า?
ถังเถี่ยอี้จากไปแล้ว เพราะเจอกับโจวเฝย เขาไม่มีความมั่นใจมากพอ ต่อให้ได้ครอบครองมีดเลี่ยนซือที่สมบูรณ์แบบ ลางสังหรณ์ก็ยังบอกกับเขาว่าปะทะกับโจวเฝย มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น
ก็เหมือนกับที่เมื่อหลายปีก่อนพวกปรมาจารย์น่าสงสารทั้งหลายต้องกลายมาเป็นหินลับมีดเมื่อเจอกับเขาถังเถี่ยอี้
ดังนั้นเขาจึงไปหาเรื่องปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานแทน
แต่ที่ทำให้ถังเถี่ยอี้โมโหก็คือเจ้าหมอนั่นกลับดอดหนีไปก่อนแล้ว ทั้งยังเก็บลมปราณ กลายเป็นเหมือนปลาที่ลงสู่แม่น้ำอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ถังเถี่ยอี้เคียดแค้นอยู่ในใจ หากเป็นเมืองหลวงแคว้นเป่ยจิ้น เฉิงหยวนซานมีแต่ต้องรอความตายเท่านั้น
เขาสามารถโยกย้ายกองทัพของทั้งเมืองไล่ล่าปรมาจารย์คนใดก็ได้ที่หล่นจากอันดับรายชื่อ
แน่นอนว่าความคิดที่จะสังหารติงอิงกับอวี๋เจินอี้นั้น ถังเถี่ยอี้ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่น้อย ไม่มี แล้วก็ไม่กล้ามี
ครั้งนี้เขาแอบออกจากเป่ยจิ้นมาแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเงียบเชียบ และแทบทุกก้าวล้วนอยู่ในแผนการของอวี๋เจินอี้ บางทีอาจจะนานยิ่งกว่านั้น นั่นคือเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาได้มีดปีศาจเลี่ยนซือเล่มนี้มาครอบครอง
ถังเถี่ยอี้ไม่ได้ปรารถนาในการคว้าแสงเงินแสงทองบินทะยานเพื่อไปเยือนบ้านเกิดของเซียนอะไรทั้งนั้น เพราะแค่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีพื้นที่มากพอให้เขาแสดงความสามารถของตัวเองแล้ว!
……
ติงอิงกับเด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่าง คนหนึ่งนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่ง คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือที่สั่นสะท้าน
หลังจากที่ติงอิงรู้ว่าถงชิงชิงไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรก เขาก็ถอนหายใจ หันหน้ามาเอ่ยกับเด็กชายยิ้มๆ ว่า “ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้นช่าง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นมารร้ายใหญ่อย่างติงอิงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะวิจารย์ถงชิงชิงอย่างไรถึงจะถูกต้องที่สุด
ติงอิงรู้จักถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินดีกว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้
หนึ่งเพราะคนทั้งสองอายุเท่ากัน เป็นคนรุ่นเดียวกัน อีกทั้งยังรู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว ติงอิงคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์อีกคนหนึ่งตามหลังหลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมาร อายุยังน้อยก็เลื่อนขั้นเป็นสิบคนหลังของใต้หล้า ดังนั้นจึงท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังมานานแล้ว สถานะของถงชิงชิงในเวลานั้นคล้ายกับฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินในเวลานี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์ที่วางแผนทุกก้าวย่าง กุมเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ในกำมือแล้ว อาจารย์ของนาง ถงชิงชิงคือผีขี้ขลาดอย่างเต็มตัว เมื่อถูกบีบให้ต้องขึ้นเป็นเจ้าหอจิ้งซินคนถัดไป นางกลับหน้าด้านอยู่ในสำนักเฉยๆ ไม่ยอมออกไปแสวงหาช่วงชิงใต้หล้ามาให้แก่สำนัก ติงอิงใจกล้าไม่เกรงใคร มีครั้งหนึ่งเขาแอบลอบเข้าไปในหอจิ้งซิน ไปเยือนศาลาชมจันทร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม ผลคือเจอกับถงชิงชิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในศาลา นางขดตัวพิงราวระเบียง เด็กสาวกำลังพร่ำพูดระบายความในใจ ไม่ทันสังเกตเห็นติงอิงเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการตำหนิว่าอาจารย์ของนางใจร้ายใจดำ คิดจะขับไล่นางออกจากสำนัก ตำหนิศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงที่โง่เกินไป ไม่รู้จักตั้งใจเรียนวรยุทธ์ ถึงขนาดเอาชนะตนที่แอบอู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มนับนิ้วพูดถึงยอดฝีมือทั้งหลายในยุทธภพว่าพวกเขาร้ายกาจอย่างไร ดุร้ายแค่ไหน สุดท้ายแม้แต่ยอดฝีมือระดับสองนางก็ไม่ปล่อยผ่าน รู้จักแต่ละคนดีราวกับเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง เสมือนว่าคนพวกนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ร้อยปียากจะพานพบ…
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!