พวกเผยเฉียนกลับมาถึงร้านยาก็ดึกมากแล้ว เฉินผิงอันรออยู่ตรงหน้าประตูตลอดเวลา เขาเรียกสุยโย่วเปียนไว้บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
คนทั้งสองเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ในตรอกเล็ก
เฉินผิงอันเล่าเรื่องที่ผู้เฒ่าอยากจะให้สุยโย่วเปียนไปฝึกตนบนภูเขาของเขาให้สุยโย่วเปียนฟังโดยไม่มีตกหล่น
สุยโย่วเปียนสีหน้าไร้อารมณ์ ถามเฉินผิงอันกลับว่ารู้รากฐานของคนผู้นั้นหรือไม่ เขาชื่อแซ่อะไร ตบะสูงต่ำเท่าไหร่ สำนักของเขาอยู่ที่ไหน
เฉินผิงอันบอกว่าเรื่องพวกนี้ต้องถามความเห็นของเจ้าสุยโย่วเปียนก่อน เขาถึงจะไปพูดคุย รวมถึงไตร่ตรองและยืนยันให้แน่ใจได้ พอได้คำตอบแล้ว เขายังต้องส่งกระบี่บินไปสอบถามภูเขาไท่ผิง ขอให้เทียนจวินผู้เฒ่าช่วยตรวจสอบด้วยตัวเอง รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยไร้ข้อผิดพลาดแล้วถึงจะให้สุยโย่วเปียนตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
สุยโย่วเปียนเงียบงันอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันจึงได้เดินออกไปนอกตรอกเล็กเป็นเพื่อนนาง เดินไปบนถนนใหญ่ที่ผู้คนบางตากลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ศึกที่วัดร้าง สุยโย่วเปียนตายไปสองครั้ง แลกเปลี่ยนชีวิตกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองนอกนครมังกรเฒ่าอีกหนึ่งครั้ง หลังจากสามครั้งนี้ เส้นทางบนวิถีวรยุทธ์ของนางก็จะต้องหยุดลงที่ขอบเขตแปดเดินทางไกล
สุยโย่วเปียนพลันหยุดยืน ถามว่า “เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปอยู่ในสำนักแห่งนั้นมากเลยใช่ไหม อย่างน้อยก็สามารถใช้สิ่งนี้แลกมาด้วยสมบัติอาคมสองชิ้น และได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปหนึ่งก้านกับสำนักที่ผู้เฒ่าอยู่?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากไม่เป็นเพราะไม่มีวิธีอื่นอีกจริงๆ ข้าก็ย่อมหวังให้เจ้าอยู่ข้างกาย หวังว่าจะสามารถช่วยให้เจ้าสลายปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ไปได้อย่างราบรื่น ตั้งใจฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ มหามรรคาสามารถเดินไปได้ไกล เดินไปได้สูงยิ่งกว่าเดิม แต่เจ้าน่าจะเข้าใจ ตอนนี้ข้าเองก็เพิ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า เพิ่งจะเริ่มต้นสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ เมื่อเทียบกับตระกูลเซียนชนชั้นสูงที่ในชื่อมีคำว่าสำนักซึ่งมีการสืบทอดต่อกันมาเป็นพันปีขึ้นไปแล้ว ทรัพย์สมบัติของข้าในเวลานี้ไม่เพียงพอเลย และบนเส้นทางของการฝึกตน หากช้าไปหนึ่งก้าวก็ต้องช้าทุกก้าว”
สุยโย่วเปียนถามอีก “หากข้าเลือกที่จะจากไป เจ้าจะจัดการกับภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของข้าสุยโย่วเปียนอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าย่อมต้องเก็บเอาไว้ให้ดี เรื่องของการฝึกตน ใจคนยากแท้หยั่งถึง อยู่ในมือข้า อย่างน้อยข้าก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้า ยิ่งไม่มีทางใช้สิ่งนี้มาบีบบังคับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่หากมอบให้คนอื่น ข้าไม่วางใจ ต่อให้ผู้เฒ่าคนนั้นจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีจริงๆ ยินดีรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ให้เจ้าเข้าไปอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักเขา แต่ข้าจะรับประกันได้อย่างไรว่าคนอื่นจะไม่เกิดใจคิดร้ายต่อเจ้า จะไม่หวังใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เจ้า ในช่วงเวลาวิกฤตอันตรายจะไม่บีบบังคับให้เจ้าพาตัวเข้าไปอยู่ในทางตัน? คนเราเมื่ออยู่จุดสูงก็ย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ข้าเฉินผิงอันไม่เหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าข้ามีใจเมตตามากกว่าผู้เฒ่า ปฏิบัติต่อเจ้าดียิ่งกว่า แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่มองเจ้าสุยโย่วเปียนเป็นสิ่งของ ไม่คิดจะขายเจ้าเพียงเพราะมีคนให้ราคาที่สูงเทียมฟ้า”
สุยโย่วเปียนจ้องเฉินผิงอันเขม็ง
เฉินผิงอันจ้องตานางกลับอย่างเปิดเผย “คำพูดจากใจจริง”
สุยโย่วเปียนเองก็ไม่ได้ให้คำตอบหรือปฏิเสธ อยู่ดีๆ กลับพูดไปเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย “นักพรตหญิงจากภูเขาไท่ผิงคนนั้นมีรูปโฉมงามล้ำอย่างแท้จริง แถมยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งด้วย”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “แล้ว?”
สุยโย่วเปียนถาม “เจ้าไม่หวั่นไหวสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกลอกตามองสูง ใช้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย “ใต้หล้านี้มีสตรีที่งดงามมากมาย หากสวยก็มองนานอีกนิดให้เพลิดตาเจริญใจ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติ เหตุใดต้องหวั่นไหว?”
สุยโย่วเปียนหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เป็นบุรุษ แต่กลับไม่มีความคิดจะกอดหญิงงามแนบซ้ายแนบขวา เจ้าเฉินผิงอันป่วยหรือไง?”
เฉินผิงอันยังคงเอามือรองท้ายทอย หันหน้ามาพูดอย่างเกียจคร้าน “อย่าด่าคนสิ”
คนทั้งสองเงียบงันกันไปตลอดทาง เดินกลับมาถึงร้านยาฮุยเฉิน เผยเฉียนที่ยังไม่ง่วงยืนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่หน้าประตูร้าน บอกว่าจะแสดงฝีมือให้เฉินผิงอันดูสักสองกระบวนท่า พูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าเหล่าเว่ยและเสี่ยวป๋ายเห็นวิชากระบี่วิชาดาบของนางแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแล้ว
เกี่ยวกับวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และลากดาบที่หวงถิงถ่ายทอดให้เผยเฉียน คนทั้งสี่ในภาพวาดต่างก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้อย่างมีไหวพริบ ยิ่งไม่คิดจะแอบลักจำ แกล้งยั่วให้เผยเฉียนถ่ายทอดคาถาให้ฟังเป็นการส่วนตัว หนึ่งเพราะยึดหลักคุณธรรมในยุทธภพ อีกอย่างหนึ่งก็คือเด็กแสบอย่างเผยเฉียน แม้ปากจะตอบรับ แต่พอหมุนก้นหันตัวกลับก็คงแล่นไปขายพวกเขากับเฉินผิงอันแล้ว สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางพูดง่ายอย่างแน่นอน
สุ่ยโย่วเปียนจูเหลี่ยนสี่คนไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปหยั่งเชิงขีดจำกัดของเฉินผิงอัน
ดังนั้นสุยโย่วเปียนจึงเดินเข้าไปในร้านยา ไปฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูที่ได้รับการอนุญาตจากเฉินผิงอันโดยปริยายอยู่ในห้องด้านข้างของเรือนหลัง
ในตรอกเล็ก เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงธรณีประตู พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลองดูสิ”
เผยเฉียนตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ ตวาดเบาๆ หนึ่งที ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองมือถือไม้เท้าเดินป่า สะบัดไม้เท้าออกไปด้วยกระบวนท่าวานรขาวลากดาบ
ไม่ได้กะแรงให้ดี ไม้เท้าเดินป่าจึงหลุดจากมือเผยเฉียนไป เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าแตะแล้วยื่นมือไปคว้าไม้เท้าไม้ไผ่ที่อีกนิดเดียวก็จะพุ่งชนกำแพงในตรอกเล็ก ไม่อย่างนั้นมันต้องพังแน่
เผยเฉียนเบิกตาค้างอ้าปากกว้าง จบเห่แล้ว คิดว่าตัวเองต้องได้กินมะเหงกอีกแน่
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะแค่ยื่นไม้เท้าคืนให้นาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พลังอำนาจมีมากพอ วันหน้าก็ตั้งใจฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวกับข้าให้ดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นวิชากระบี่วิชาดาบที่ดีแค่ไหน ร่างกายของเจ้าก็รับไม่ไหว เรี่ยวแรงจะยังกระจัดกระจายมั่วซั่ว มีแต่จะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ”
เผยเฉียนกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ทอดถอนใจไม่หยุด หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่โอ้อวดวิชาอันล้ำโลกของตนแล้ว วันหน้าเวลาเดินยังต้องใช้กระบวนท่าหมัดที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?!
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ตอนเล็กๆ ต้องเจอกับความลำบากให้มาก”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยแววรอคอย “พอโตแล้วก็จะได้เสวยสุขทุกวัน? ได้นอนรับเงินหรือ? ไม่ต้องคัดตัวอักษร อยากดื่มเหล้าก็ได้ดื่ม อยากกินอะไรก็ได้กิน?”
เฉินผิงอันพานางเดินกลับเข้าไปในร้าน ปิดประตูลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอเจ้าโตเมื่อไหร่ก็ย่อมรู้เอง”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “ไม่อยากโต นักพรตหญิงผู้นั้นบอกว่าข้าหน้าตาไม่งดงาม คาดว่าพอโตขึ้นก็คงไม่ดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ อายุน้อยก็ยังเป็นแค่เด็กขี้เหร่ ถึงอย่างไรก็ต้องดีกว่าหญิงสาวอัปลักษณ์อยู่มาก วันนี้ไปชมโคมไฟ จู่ๆ จูเหลี่ยนก็พูดว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี ข้าก็สามารถยืนอยู่หน้าประตูบ้านให้ท่านได้ทุกวัน บอกว่าภูตผีปีศาจคงไม่กล้าเข้าประตูมา ร้ายกาจยิ่งกว่าจ่ายเงินซื้อภาพเทพทวารบาลซะอีก ตอนนั้นข้ายังดีอกดีใจ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็เลยแอบถามเหล่าเว่ย เหล่าเว่ยบอกว่ามนุษย์เราก็ชั่วร้ายได้เช่นกัน เขาพูดหลอกข้าบอกว่า บางทีอาจเป็นเพราะวิชากระบี่ล้ำโลกที่ข้าฝึกฝนมีปราณกระบี่หนักมากเกินไป ดังนั้นสิ่งสกปรกจึงกลัวข้า ตอนหลังยังคงเป็นสุยโย่วเปียนที่มีคุณธรรมที่สุด ยอมบอกความจริงกับข้า ที่แท้จูเหลี่ยนก็พูดแบบอ้อมๆ บอกว่าพอข้าเติบโตไม่เพียงแต่หน้าตาชวนให้คนตกใจ ยังน่ากลัวจนแม้แต่ผียังหวาดผวา จูเหลี่ยนชั่วร้ายเกินไปแล้ว เสียแรงที่ข้ากินข้าวเพิ่มครึ่งถ้วยทุกวัน ทุกครั้งที่จูเหลี่ยนยกกับข้าวขึ้นโต๊ะก็เป็นข้าที่ชื่นชมเขามากที่สุด จูเหลี่ยนไม่มีมโนธรรมในใจเลยจริงๆ”
ในดวงตาเฉินผิงอันฉายรอยยิ้ม จงใจเอาคำพูดติดปากของเด็กหญิงมาเอ่ยสัพยอกนาง “กลุ้มจริง”
เผยเฉียนคลี่ยิ้มกว้าง ถึงอย่างไรก็ยังมีใจเป็นเด็ก ความกลัดกลุ้มที่สุมแน่นอยู่เต็มท้อง นึกจะหายก็หายไปได้ง่ายๆ
หลังจากกลับไปที่ห้องข้างและปิดประตูลง นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสุยโย่วเปียน ใช้สองมือเท้าแก้ม จ้องมองสุยโย่วเปียนที่กำลังฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงสุย ทำไมเจ้าถึงหน้าตางดงามปานนี้ล่ะ สอนข้าบ้างสิ?”
สุยโย่วเปียนลืมตาขึ้น ราวกับว่าวันนี้นางจะอารมณ์ไม่เลว จึงกลั้นยิ้มไว้ จงใจตีหน้าเคร่งพูดอย่างจริงจัง “อ่านหนังสือ คัดตัวอักษร เดินนิ่งหกก้าว ยืนนิ่งเจี้ยนหลู วิชากระบี่วิชาดาบ เช็ดโต๊ะกวาดพื้น ยกน้ำส่งชา ล้วนต้องจริงจังทั้งหมด”
เผยเฉียนเบี่ยงหน้ามาน้อยๆ ยิ้มกว้าง “พี่หญิงสุย เจ้าเข้าใจพูดล้อเล่นจริงๆ”
สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ จุ๊ปากพูดด้วยถ้อยคำเลียนแบบนักพรตหญิงหวงถิง “เด็กที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงหน้าตาไม่งดงามเลยนะ”
เผยเฉียนหมุนตัวกลับอย่างอัดอั้น เอาหลังพิงขอบโต๊ะ เอาหัววางไว้บนโต๊ะ ยื่นมือหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่นางรักมากที่สุดออกมาแปะลงบนหน้าผาก พูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงสุย เจ้าชอบพ่อของข้าไหม?”
สุยโย่วเปียนหลุดหัวเราะพรืด
เห็นได้ชัดว่าเผยเฉียนเองก็ไม่สนใจอยากจะฟังคำตอบ นางพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราไปดูโคมไฟมากมายในเทศกาลหยวนเซียว ทุกดวงล้วนงดงาม แต่ยังจำงานโคมไฟข้างเหลาสุราเฟิ่งเซียนได้ไหม? ลงกระทะน้ำมันเอย ดึงลิ้นเอย ถลกหนังดึงเส้นเอ็นเอย ไม่ใช่ผีร้ายกุ่ยชาก็เป็นอุปกรณ์ลงทัณฑ์ในนรก เหล่าเว่ยบอกว่าอาจจะเป็นงานเลี้ยงโคมไฟที่ที่ว่าการกรมอาญาในนรกเป็นผู้จัดเพื่อเล่นงานคนที่ชอบทำเรื่องเลวร้ายมากที่สุด ทำเอาข้าตกใจแทบตาย เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นจู่ๆ ข้าก็พบว่าพ่อข้าไม่อยู่ข้างกาย ข้าใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว”
สุยโย่วเปียนหลับตาลงอีกครั้ง ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต่อ ขยายชีพจรให้กว้าง หล่อเลี้ยงบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่น
เผยเฉียนยื่นมือมาประคองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นให้ตรงอย่างเบามือ พูดพึมพำว่า “แผ่นยันต์ปกป้องเผยเฉียนให้ดี ภูตผีปีศาจล้วนถอยไป”
……
ในค่ำคืนนี้ เทพหยินแซ่จ้าวมาหาเฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้น บอกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นฝากถ้อยคำมาให้อีกครั้ง ทางฝ่ายของสำนักใบถงได้เริ่มมอบการชดใช้มาให้อย่างเป็นทางการแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!