ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า นั่งสูบยาอยู่ในลานบ้าน
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าตกลงทำการค้ากับราชวงศ์ต้าหลีและตระกูลฝู ตระกูลฟ่านเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่กีบเท้ากองทัพม้าเหล็กของตระกูลซ่งเหยียบลงบนชายหาดทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่า ฟ่านจวิ้นเม่าผู้นั้นสามารถกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาองค์ที่สองของราชวงศ์ต้าหลีต่อจากองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือเว่ยป้อ
และค่าตอบแทนที่ผู้เฒ่าต้องจ่ายก็มีแค่ตบะของเขตเก้าของเจิ้งต้าเฟิงเท่านั้น
เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ถือว่ายุติลงแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว
ฝูฉีถอนหายใจโล่งอก เตรียมจะพาฝูตงไห่กลับจวน ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เอ้อร์ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของฝูตงไห่
สะพานแห่งความเป็นอมตะไม่เพียงขาดไป อีกทั้งยังแหลกสลายจนแม้แต่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้
หลี่เอ้อร์ไม่มองฝูตงไห่ผู้นั้น แต่จ้องมองฝูฉีด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้ารู้สึกว่าในฐานะของบิดา ควรช่วยออกหน้าให้บุตรชาย”
ฝูฉีประคองฝูตงไห่บุตรชายคนโตที่ล้มแล้วลุกไม่ได้อีกขึ้นมา สีหน้าไม่มีความแค้นเคืองแม้แต่นิดเดียว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในที่สุดก็ทำให้ท่านหลี่เอ้อร์ได้ระบายความแค้นเคืองครั้งนี้ออกมา มาครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเที่ยว ก็เหมือนกับที่ท่านเจิ้งพูด วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว”
“อ้อ?”
หลี่เอ้อร์ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ถือโอกาสนำทางข้าไปที่ศาลบรรพชนตระกูลฝูสักรอบดีไหม?”
ฝูฉีที่ถือว่าเก็บอารมณ์ได้ดีสีหน้าเขียวคล้ำในชั่วพริบตา
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “หลี่เอ้อร์ พอได้แล้ว”
หลังจากที่ฝูฉีพาฝูตงไห่จากไป เพียงไม่นานหลี่เอ้อร์ก็ออกไปจากนครมังกรเฒ่า
วันนี้ใต้ต้นไหว เจิ้งต้าเฟิงนั่งอาบแดดที่อบอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิเพียงลำพัง สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมที่สบายตัวซึ่งเผยเฉียนช่วยซื้อมาให้พวกเขา
แม้นางที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานผู้นั้น คงเป็นเพราะกินอาหารช่วงปีใหม่มาอย่างสมบูรณ์พร้อมจึงดูเหมือนใบหน้าและหุ่นของนางจะ ‘อวบอิ่ม’ ขึ้นมาอีกนิด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่เดินส่ายไปส่ายมาอยู่ด้านหน้าเจิ้งต้าเฟิง คราวนี้นางกลับปลุกความกล้าเดินมาใกล้เจิ้งต้าเฟิง ถามอย่างเขินอาย “เถ้าแก่เจิ้ง ที่ร้านรับคนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มส่ายหน้า “ไม่รับแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านเกิด หากินอยู่ในนครมังกรเฒ่าของพวกเจ้ายากเกินไป”
แม้ว่าแม่นางคนนี้จะอ้วนจนเกินจริงไปมาก แต่กลับมีน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มเสนาะหูมากเป็นพิเศษ บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ยังจะกลับมาอีกไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ไม่กลับมาแล้วล่ะ”
นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ไม่ได้บอกว่าที่นี่คือบ้านเดิมของบรรพบุรุษเจ้าหรอกหรือ แล้วร้านจะทำอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ก็ปล่อยว่างไว้นั่นแหละ ร้านยาฮุยเฉิน (ฝุ่นเกาะ) นี่นะ จะกินฝุ่นก็เป็นเรื่องปกติ”
นางหน้าแดงเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นมอบกุญแจให้ข้าดีไหม ข้าจะช่วยทำความสะอาดให้เจ้า หากในบ้านไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่เลยก็ง่ายที่จะโทรมเร็ว น่าเสียดายนัก”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องจริงๆ ขอบคุณแม่นางมาก”
เจิ้งต้าเฟิงมองสีท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตยังส่องแสง แต่ว่ายามนี้ถือว่าไม่เช้าแล้ว ยังต้องกลับไปเก็บสัมภาระ แม่นางคนนั้นกัดริมฝีปาก มองชายฉกรรจ์หลังค่อมที่หิ้วม้านั่งเผ่นหนีไปอย่างลนลานก็พลันถามว่า “เถ้าแก่เจิ้ง ไม่อยากจะถามบ้างหรือว่าข้าแซ่อะไร?”
ถึงอย่างไรเจิ้งต้าเฟิงก็ไม่หน้าหนาพอจะทำเป็นไม่ได้ยิน จึงได้แต่หยุดเดิน หันหน้ากลับมา “ไม่ทราบว่าแม่นางแซ่อะไร?”
นางคลี่ยิ้มหวาน “ข้าชอบกินขิง ดังนั้นแซ่เจียง!” (姜 เป็นได้ทั้งแซ่ และแปลว่าขิงก็ได้)
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง
พูดมาอย่างนี้ เขาจะต่อบทสนทนาอย่างไร?
แค่ดูจากแต่ละครั้งก่อนหน้านี้ที่แค่เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่เอ่ยอะไร ก็รู้แล้วว่าแม่นางคนนี้รู้จักมารยาท มีนิสัยอ่อนโยนไม่ชอบตอแยใคร วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นางเบี่ยงตัวยอบกายคารวะ “หวังว่าเถ้าแก่เจิ้งจะเดินทางราบรื่นปลอดภัย”
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ้มและโบกมือเป็นการบอกลานาง
เป็นแม่นางที่ดี
ในม่านรัตติกาลของค่ำคืนนี้ ทางชานเมืองทิศเหนือนอกนครมังกรเฒ่า
หลุมศพขนาดเล็กใหม่เอี่ยมหลุมหนึ่ง ด้านบนยังมีกระดาษสีแดงหลายแผ่นที่ใช้หินก้อนเล็กทับเอาไว้
ชายฉกรรจ์หลังค่อมนั่งยองอยู่หน้าหลุมศพ เผาหนังสือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็วางตะเกียงนำมันดวงเล็กสิบดวงไว้หน้าหลุม น้ำมันในตะเกียงเป็นสีดำสนิทแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึม เพียงแต่ว่ากลับไร้ไส้ตะเกียง
แล้วแบบนี้จะจุดไฟอย่างไร?
เทพหยินตนหนึ่งเผยกายขึ้นมาจากความว่างเปล่า ดีดนิ้วใส่ตะเกียงน้ำมันเหล่านั้น ตะเกียงน้ำมันสิบดวงก็ทยอยกันสว่างไสว หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าไส้ตะเกียงที่สูงชุ่นกว่ามีลักษณะแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เพราะเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคน ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสูงสุดประหนึ่งดวงวิญญาณถูกเผาไหม้ ประหนึ่งกล้ามเนื้อค่อยๆ หลอมละลายทีละหยดผสานรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันตะเกียง
ไส้ตะเกียงของตะเกียงทั้งสิบดวงแบ่งออกเป็นสามจิตเจ็ดวิญญาณของคนผู้หนึ่ง
เนื้อหนังมังสายังคงอยู่
ทว่าดวงวิญญาณกลับถูกเทพหยินตนนี้ใช้วิชาอำมหิตกักตัวมา
ชายฉกรรจ์ไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่นั่งยองอยู่ตรงนั้น พูดกับหลุมศพเบาๆ ว่า “กลัวว่าเจ้าเห็นภาพน่าสยดสยองนี้แล้วจะกลัว ข้าจะรอให้ไฟดับก่อนแล้วค่อยจากไป”
……
ท่ามกลางสีแห่งราตรี ทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุน ซุนเจียซู่กำลังเดินเล่นเลียบริมลำคลองอยู่เพียงลำพัง
ต่อให้บรรพบุรุษตระกูลซุนจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิด แต่ตลอดหลายวันมานี้ก็ยังทอดถอนใจเฮือกๆ เจ็บใจอย่างถึงที่สุด
กลับกลายเป็นซุนเจียซู่ที่ต้องหันมาปลอบใจบรรพบุรุษของตน โชควาสนาเช่นนี้ หากได้มาคือความโชคดี หากสูญเสียไปก็คือชะตาฟ้าลิขิต ได้แค่คิดว่าตระกูลซุนไม่มีโชคดีแบบนี้เท่านั้น
คุณชายหนุ่มหน้าตาดุจหยกสลักผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่อย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นบรรพบุรุษสกุลซุนและผู้ถวายงานโอสถทองทั้งสามท่านก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงริ้วลมปราณสักเสี้ยว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!