กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 379

และในขณะที่จู๋เฟิ่งเซียนเตรียมจะหลับตาทำสมาธินั้นเอง หญิงชราที่มีบุคลิกเป็นที่น่าประทับใจพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เมื่อเทียบกับเมื่อสามสิบปีก่อน น้ำในยุทธภพลึกขึ้นแล้ว เวลาที่ไม่อยู่ในถิ่นของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรดื่มสุราคารวะให้มาก โอ้อวดให้น้อย โขกหัวให้มาก พูดจาให้น้อย”

เด็กสาวหน้ากลมพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า นางจ้องหญิงชราผมขาวผู้นั้นเขม็ง อยากจะรู้ว่าหญิงแก่ผู้นี้เป็นบ้าแล้วหรือไร

จู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าจำไม่ผิด นับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรือนแยนจือเจ้าสร้างสำนักขึ้นมา เวลาสองร้อยกว่าปีก็ยังเป็นได้แค่สำนักลำดับรองของแคว้นอวิ๋นเซียวเท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนามาโดยตลอด ทำไม ภายในสามสิบปีนี้ มีใครมาอยู่เหนือร่างสตรีอย่างพวกเจ้าแล้วงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมากะทันหัน เหตุใดแค่เข้ามาหลบฝนก็ต้องมาเจอกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพเช่นนี้ด้วย? ก่อนหน้านี้เผยเฉียนยังบ่นอยู่ว่า หลังออกจากท่าเรือหางผึ้ง เดินมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมได้เจอกับวัวดินสีเหลืองตัวเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เจอภูตผีหรือตัวประหลาดอะไรอีก

ตอนนี้เผยเฉียนจึงตั้งใจฟังอย่างมาก นี่ก็คือยุทธภพสินะ วันหน้าตนก็จะออกไปท่องยุทธภพเช่นกัน ตอนนี้ก็ต้องดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก

จูเหลี่ยนแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง คำพูดนี้ของเจ้าคนแซ่จู๋ต้องขบคิดให้ลึกซึ้งแล้ว

หญิงชราหัวเราะหยัน “หากไม่ผิดไปจากที่คาด หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋คงคิดจะพาแม่นางน้อยคนนี้เข้าไปฝึกวิชาตระกูลเซียนในอารามจินกุ้ยกระมัง ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋รู้หรือไม่ว่า เจ้าอารามจินกุ้ยเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเรือนแยนจือของพวกเรา? ในบรรดาลูกศิษย์เก้าคนก็มีรายชื่อของเรือนแยนจือพวกเราแล้วคนหนึ่ง แถมเรื่องนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เอ่ยปากเองด้วย ดังนั้นขึ้นเขาครั้งนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยที่ปากคอเราะร้ายข้างกายหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ผู้นี้ หากมีพรสวรรค์ในการฝึกตนจริงๆ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าอารามยังถูกชะตาก็นับว่ามีโอกาสจะเรียกชิงเฉิงของพวกเราว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว”

เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านของเรือนแยนจือหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความเขินอาย

เด็กสาวหน้ากลมมองนาง หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “เจ้าชื่อชิงเฉิน (ยามเช้า) เหรอ ข้าชื่อหว่านซ่าง (ยามเย็น)”

จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มบางๆ “เจ้าอารามจินกุ้ยคือเทพเซียนตัวจริงที่หาได้ยาก ครั้งนี้เขาเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ดังนั้นข้าถึงได้ยินดีออกมาเยือนยุทธภพอีกครั้ง เพียงแต่ว่าแคว้นชิงหลวนไม่ได้มีแค่ตระกูลเซียนอย่างอารามจินกุ้ยแห่งเดียวเท่านั้น ข้าสามารถสังหารพวกเจ้าให้สิ้นซากก่อน จากนั้นก็พาหลานสาวไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น หรือไม่ก็ไปจากที่นี่โดยตรง ให้ลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อของข้าแอบปกป้องสตรีที่พวกเจ้าพาขึ้นเขาอย่างลับๆ จะได้สอนนางว่าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนควรทำเช่นไร”

สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น พูดได้ง่ายนัก! เหตุใดเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยถึงต้องจำกัดอายุ? เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้อย่างนั้นหรือ? หากช้าไปกว่านี้สักสองสามปี หลานสาวคนนี้ของเจ้าจะยังฝึกเป็นเซียนกับผายลมอะไรอีก ต่อให้เห็นแก่หน้าของพรรคต้าเจ๋อ ยอมให้นางเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียน แต่คาดว่าคงเป็นได้แค่สาวใช้ที่ต้องปรนนิบัติคนอื่นกระมัง การฝึกตนของตระกูลเซียนไร้น้ำใจที่สุด ต้องให้ข้าสอนหลักการนี้แก่เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนหรือไม่?”

สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนมืดทะมึน

ต่อให้เป็นเด็กสาวหน้ากลมที่มองดูเหมือน ‘น่ารักไร้เดียงสา’ คนนั้นก็ยังหน้าดำคล้ำ

นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง

แม้ว่าสายตาของหญิงชราไม่ดีจึงมองข้อนี้ไม่ออก แต่เด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าไปสองสามปีในช่วงที่อายุยังน้อย หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้วก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะชดเชยกลับมาได้

ตามคำบอกของท่านปู่จู๋เฟิ่งเซียนและกุนซือท่านนั้นของพรรคต้าเจ๋อ นางคือวัสดุชั้นเยี่ยมในการฝึกตนที่ร้อยปีถึงจะพานพบสักครั้ง น่าเสียดายที่แม้ว่าตำราลับตระกูลเซียนที่ช่วยให้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งมีอยู่เล่มเดียวในคลังอาวุธของพรรคต้าเจ๋อจะระดับขั้นไม่เลว แต่ข้อที่ว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นเซียนดินที่ดื่มน้ำค้างกินแสงเรืองรอง ทะยานลมไกลเป็นหมื่นลี้ได้ ตำราเต๋าเล่มนั้นที่มาจากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนซึ่งควันธูปขาดหายไปแล้วกลับไม่ได้บันทึกไว้ นั่นน่าจะเป็นวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น มีเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชาลับของสำนัก ได้รับการสืบทอดจากศาลบรรพชน

เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าการโต้คารมด้วยฝีปากนี้น่าสนใจที่สุด น่าสนุกยิ่งกว่าตอนที่นางยังเด็กแล้วเห็นสตรีแต่งงานแล้วตบตีกันริมถนนของแคว้นหนันเยวี่ยนเสียอีก

เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน กลัวก็แต่ว่าหากพวกเขาพูดจาไม่เข้าหูกันขึ้นมาก็อาจลงมือกัน โพรงหินก็ใหญ่แค่นี้ จะหลบก็หลบไม่พ้น มีดและกระบี่ล้วนไร้ตา หรือยังจะต้องให้เขาเปิดปากเอ่ยเตือนให้คนสองกลุ่มอย่างพรรคต้าเจ๋อและเรือนแยนจือนี้ออกไปตีกันข้างนอก?

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เดินผ่ากลางระหว่างคนสองกลุ่มออกไปหน้าช่องโพรงหินโดยตรง สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟครึ่งแผ่นที่เอาออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลานี้ยันต์ติดไฟลุกไหม้อีกครั้ง สะเก็ดไฟสีทองอร่าม ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนที่พัดกระโชกแรงก็ยังคงเป็นดั่งต้นหญ้าต้นเล็กที่ส่ายไหวอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามายิ้มให้ “ฝนครั้งนี้ค่อนข้างจะประหลาด ลมปราณเยือกเย็นอึมครึมที่ไม่ธรรมดาขุมนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ฝนตกจนถึงตอนนี้ ทอดยาวลงมาไม่ขาดสาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกลมปราณบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ดูจากสถานการณ์แล้ว เหล่าเทพเซียนของอารามจินกุ้ยยังไม่ยอมลงมือ ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าขึ้นเขาไปที่อารามจินกุ้ยต้องระวังตัวให้มาก ไม่สู้วางบุญคุณความแค้นในยุทธภพลงก่อนชั่วคราว ถึงอย่างไรเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมของแม่นางทั้งสองก็สำคัญยิ่งกว่า การขึ้นเขาครั้งนี้คงจะถือว่าได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้ว”

เฉินผิงอันมองเด็กสาวทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเนิบช้าว่า “เส้นทางแห่งการฝึกตนใต้ฝ่าเท้า จำเป็นต้องยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลงด้วยหรือ? หากไม่ถูกชะตากัน มหามรรคากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่ต่างคนต่างเดินไปก็พอแล้ว”

จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้พูดถูกแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะไปเป็นแขกที่พรรคต้าเจ๋อของข้า ข้าผู้แซ่จู๋จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แน่นอน”

แม้จะเป็นคำพูดที่เอ่ยตามมารยาท ทว่าคำพูดตามมารยาทที่หลุดออกจากปากของจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่า อย่างน้อยหากอยู่ในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนก็ถือว่ามีค่าเทียบกับเงินทองได้เป็นจำนวนไม่น้อย

หญิงชราชุดขาวชำเลืองตามองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายมีค่ายิ่ง ชิงเฉิงของพวกเราต้องจดจำขึ้นใจอย่างแน่นอน”

เด็กหญิงใบหน้ารูปไข่ห่านคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน

ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ปลายนิ้วของเฉินผิงอันเผามอดไหม้หมดสิ้นแล้ว สะเก็ดไฟสีทองก็ดับลงตามไปด้วย เฉินผิงอันขยี้นิ้ว คลี่ยิ้ม “เคยมีคนกล่าวว่า ท่องอยู่ในยุทธภพ หมัดสูงไม่ปล่อยไป เป็นเทพเซียน เวทสูงส่งไม่เอามาใช้”

เด็กสาวหน้ากลมยิ้มถาม “ขอถามคุณชาย เป็นคำพูดของยอดฝีมือคนใดหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “เพื่อนข้าคนหนึ่ง”

เด็กสาวหน้ากลมที่เรียกตัวเองว่า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ยกนิ้วโป้งให้ จุ๊ปากพูด “ยอมให้เลย!”

แม่นางใบหน้ารูปไข่ที่ชื่อว่า ‘ชิงเฉิน’ รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้อยู่บ้าง

จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือสบตากัน ต่างก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นี้ของทั้งสองฝ่าย ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหากเทียบกับการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังของฝ่ายตัวเอง ต่อให้ในใจยังตะขิดตะขวง แต่ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปในอารามจินกุ้ยอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายยังจำเป็นต้องทำตัวดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หรือถึงขั้นที่ว่าหากพบเจออันตรายระหว่างทาง ไม่แน่ว่าพรรคต้าเจ๋อกับเรือนแยนจือยังต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจประหนึ่งคนที่ลงเรือลำเดียวกัน

เฉินผิงอันหันหน้าออกไปมองข้างนอก

ฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรงอย่างน่าตกใจ

ไม่รู้ว่าตอนนี้ในพื้นที่มงคลดอกบัวจะเป็นฤดูอะไร?

ก็ไม่รู้ว่าสิบคนใต้หล้าของที่แห่งนั้นในทุกวันนี้มีใครบ้าง? แต่ราชครูจ้งชิว อวี๋เจินอี้เจ้าสำนักพรรคหูซาน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นจะต้องเป็นหนึ่งในลำดับนี้แน่

ไม่รู้ว่าบ้านในตรอกแห่งนั้นจะได้เปลี่ยนเทพทวารบาลและกลอนคู่แผ่นใหม่หรือไม่?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!