หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคิดจะลุกขึ้นยืน
รุ้งสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏวูบขึ้นบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน รุ้งเส้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งพุ่งออกไปอย่างว่องไวแล้วแทงทะลุผนังห้องโดยสารรถม้ามาอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง มาหยุดลอยนิ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มแล้วนั่งกลับลงไปที่เดิม
มือข้างหนึ่งของหลี่เป่าเจินที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเพิ่งจะเริ่มขยับ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็เปล่งวาบ แทงทะลุชายแขนเสื้อของเขาเข้ามา จากนั้นก็นำพายันต์แผ่นหนึ่งไปปักตรึงอยู่บนผนังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
ยันต์แผ่นนั้นเป็นสีทอง ลักษณะแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังก็ล้วนเขียนอักขระไว้ด้วยสีชาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตรงใจกลางของยันต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็วาดเป็นองค์เทพสวมเกราะสีขาวและเกราะสีดำ
คือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
หลี่เป่าเจินถอนหายใจ พูดกับสารถีเฒ่าว่า “หยุดเถอะ ไม่ต้องสู้แล้ว ข้าหลี่เป่าเจินจะอยู่เฉยๆ รอความตายก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนพูดอย่างรีบร้อน “อย่านะ พี่ชาย พวกเราสู้กันของพวกเราไป ไม่ส่งผลกระทบกับธุระของนายน้อยข้าและเจ้านายของเจ้าหรอก”
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับแล้วพุ่งตัวไปทางจูเหลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างรถม้า หลี่เป่าเจินนั่งอยู่บนรถตั้งท่ายื่นคอรอให้ตัด
เฉินผิงอันกลับมองไปทางผ้าม่านรถม้า “เดิมทีนึกว่าเป็นประโยคตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้ายที่เอ่ยถึงบนตำรา ที่แท้ก็เป็นอีกประโยคหนึ่งในตำรานี่เอง”
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารกล่าว “โชคและหายนะไร้ประตู มีแต่คนไปเรียกหามาเอง?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
หลักการน้อยใหญ่ อันที่จริงบัณฑิตล้วนเข้าใจ
โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้เต็มท้องมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูงที่ผ่านการฝึกประสบการณ์จากวงการขุนนางอย่างหลิ่วชิงเฟิงผู้นี้
อันที่จริงวีรบุรุษผู้กล้าในยุทธภพอย่างพวกจู๋เฟิ่งเซียนกลับทำให้คนรอบข้างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งง่ายกว่า
ความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอยู่เสมอ
หลี่เป่าเจินมองเฉินผิงอัน
เขานั่ง เฉินผิงอันยืน คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
หลี่เป่าเจินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ไม่ว่าเจ้าจะตามหาข้าเจอได้อย่างไร แต่คืนนี้หลังจากฆ่าข้าแล้ว วันหน้าเจ้าจะกลับต้าหลีอย่างไร ไม่ต้องการบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั่นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันมองลูกหลานสกุลหลี่แห่งถนนฝูลวี่ที่แม้คนทั้งสองจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับคิดอยากจะให้เขาเฉินผิงอันตายท่าเดียว
เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เหตุใดนิสัยถึงได้แตกต่างจากหลี่ซีเซิ่งและหลี่เป่าผิงราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร หลี่เป่าเจินก็ยิ้มพูดว่า “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง ไม่อาจต้านรับหมัดของเจ้าได้ สมกับคำว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผันจริงๆ นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง หมุนเปลี่ยนเร็วไปหน่อยไหม หากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นข้าก็น่าจะหาทางผูกใจจูเหอไปพร้อมกันด้วย จะได้ไม่เพียงแต่ระหกระเหินออกจากบ้านเกิด แล้วยังต้องมาตายอยู่ในต่างแดนด้วยเช่นนี้”
หนึ่งหมัดปล่อยไป
หลี่เป่าเจินยกสองมือกุมท้อง ร่างค้อมงอ เกือบจะกระอักเอาน้ำดีออกมา
หมัดนี้เฉินผิงอันใช้แค่ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าจอนผมของหลี่เป่าเจินแล้วกระชากลงมาจากรถ เหวี่ยงร่างอีกฝ่ายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หลี่เป่าเจินกลิ้งหลุนๆ อยู่บนเส้นทางดินเหลือง สุดท้ายคนผู้นี้กางแขนกางขาอ้าออก ใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเจ็บแค้นอะไร เป็นเพียงแค่สัญชาตญาณของร่างกายที่รู้สึกเจ็บปวดล้วนๆ แล้วหลี่เป่าเจินก็หัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าข้าหลี่เป่าเจินก็จะมีวันนี้ด้วย หลิ่วชิงเฟิง จำไว้ว่าช่วยเก็บศพข้าส่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีด้วย!”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง
หลี่เป่าเจินมองสบตากับเขา
มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า
สายตาเช่นนี้ไม่เหมือนกับสายตาดั่งหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งของราชครูชุยฉาน หลี่เป่าเจินรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมองไม่เห็นก้นบึ้งที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นตนก็คงกลายเป็นศพศพหนึ่งไปแล้ว เพราะผู้ที่มองเห็นปลาในหุบเหวลึกย่อมเป็นลางร้าย ตอนนี้เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะมีคุณสมบัติไปลอบมองความคิดในส่วนลึกของจิตใจซิ่วหู่ผู้นั้น
แต่สายตาของเฉินผิงอันในเวลานี้มีจุดหนึ่งที่เหมือนกับราชครูต้าหลี ซึ่งมอบความทรงจำที่ลึกล้ำให้แก่หลี่เป่าเจิน
ราวกับว่าในหุบเหวลึกและด้านใต้บ่อโบราณล้วนมีเจียวร้ายตัวหนึ่งที่ว่ายวนอยากจะชูหัวเงยคอขึ้นมา
ทันใดนั้นในดวงตาของหลี่เป่าเจินพลันเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะรอวันที่เจ้ากลายมาเป็นคนอย่างข้า ข้ารอคอยวันนั้นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหยิบดินจากบนพื้นมากำหนึ่ง แบฝ่ามือเป็นสันมีดสับลงบนลูกกระเดือกของหลี่เป่าเจิน วินาทีที่ฝ่ายหลังอ้าปากอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้ก็ยัดดินเข้าไปในปากอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้มือปิดปากหลี่เป่าเจินเอาไว้ ถามว่า “อร่อยหรือไม่?”
หลี่เป่าเจินดิ้นรนมือเท้าปัดป่าย ใบหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “พูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นเจ้าพูดให้ดังๆ หน่อยดีไหม”
หลี่เป่าเจินพลันหยุดดิ้นรน ค่อยๆ กลืนดินกำใหญ่ลงคอไปเอง ดวงตาจ้องมองใบหน้าเฉยเมยของชายหนุ่มผู้นั้นเขม็ง
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้น ใบหน้าของหลี่เป่าเจินบิดเบี้ยว พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “รสชาติไม่เลว!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ตอนนี้คิดจะกินอาจมคงไม่ง่าย แต่กินดินจะไปยากอะไร”
เหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากหลี่เป่าเจินกินดินกำใหญ่ไปแล้วก็ถูกเฉินผิงอันเอามืออุดปากอีกครั้ง คราวนี้เฉินผิงอันเพิ่มแรงมากขึ้น ท้ายทอยของหลี่เป่าเจินเริ่มจมลงไปในดินทีละนิด
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมือแล้ว หน้าอกของหลี่เป่าเจินก็สะท้อนขึ้นลง หายใจยากลำบากอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เริ่มไอสำลักอย่างรุนแรง ดินจำนวนมากกระเด็นออกมาจากปาก
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้น โบกชายแขนเสื้อเบาๆ สลัดเศษดินที่กระเด็นมาโดนตัวเขาทิ้ง
ขณะเดียวกันหลี่เป่าเจินก็ร้องโหยหวนไปด้วย
มือซ้ายของเฉินผิงอันกุมมือซ้ายของหลี่เป่าเจินแน่น เสียงกร๊อบดังลั่น มือที่แอบกำเป็นหมัดของหลี่เป่าเจินแบออก เผยให้เห็นหยกพกที่เขาแอบกระชากมาจากเอว
นั่นคือหยกมันแพะงดงามที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งสลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘วังมังกร’ เดิมทีไม่สะดุดตานัก เพียงแต่ว่าเวลานี้มันเปลี่ยนมาเป็นสีใสแวววาว ด้านในก็ยิ่งมีประกายแสงเล็กบางเหมือนเส้นผมไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเฉินผิงอันบีบกระดูกข้อมือของหลี่เป่าเจินให้แตกแล้ว แขนข้างนั้นทั้งแขนของหลี่เป่าเจินก็ได้แต่ทิ้งตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น หยกที่อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะสามารถเปิดใช้เวทคาถาได้สำเร็จถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ “ขอบใจนะ”
กระบี่บินชูอีสืออู่พากันย้อนกลับมาจากหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิงและผนังรถด้านนอก ยันต์ล้ำค่าแผ่นนั้นที่คนอื่นๆ บนโลกอาจจะมองที่มาของมันไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวถูกเขาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับหยก ‘วังมังกร’
ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนี้ก็คือยันต์ประเภทที่มีระดับขั้นสูงมาก มีบันทึกไว้อย่างละเอียดในหน้าที่สามหากนับย้อนมาจากด้านหลังของหนังสือ
มือขวาของหลี่เป่าเจินกุมข้อมือข้างซ้าย คลี่ยิ้มซีดเซียว “เจ้าช่างร้ายกาจนัก กลัวเจ้าแล้ว”
ของสองชิ้นนี้ หยกประดับวังมังกรคือหนึ่งในยันต์คุ้มกันกายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสกุลหลี่ ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็ยิ่งเป็นของขวัญก่อนจากลาที่หลี่ซีเซิ่งผู้เป็นพี่ชายมอบให้
ประเด็นสำคัญคือวัตถุตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งสองชิ้นนี้จำเป็นต้องให้เจ้าของอย่างเขาหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ด้วยตัวเองเสียก่อน คนนอกถึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ ไม่อย่างนั้นหากเป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดิน ใครได้ไปก็ล้วนเป็นของตายที่ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!