อันที่จริงหลี่ไหวกำลังลืมตาโตมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
หีบหนังสือไม้ไผ่เขียว รองเท้าสานหนึ่งคู่ ปิ่นหยกชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่าไหวอิน ทำมาจากหยกสีหมึก
ของสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่หลี่ไหวทะนุถนอมมากที่สุด
ปิ่นหยก หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มีกันคนละหนึ่งชิ้น ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบให้พวกเขาพร้อมกัน เพียงแต่ว่าหลี่ไหวรู้สึกว่าของคนทั้งสองล้วนสู้ของเขาไม่ได้
และยังมีตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อจากเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันก็เป็นคนควักเงินจ่าย
นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นไม้หลากสีตัวนี้ที่หลี่ไหวมักจะเอาออกมาเล่นโอ้อวดคนอื่นเสมอ มันกับกล่องไม้เฉียวหวงเป็นทรัพย์สินที่แบ่งมาจากเว่ยป้อเทพแห่งผืนดินตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน หุ่นไม้ก็คือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของหลี่ไหว
กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรซึ่งปีนั้นอาจารย์ฉีบอกให้พวกเขาลองคัดลอกดู เพียงแต่ว่าบางคนก็ทำหาย บางคนก็เอาเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงเขาหลี่ไหวที่พกติดตัวมาด้วย ตอนนั้นระหว่างที่เดินทางกัน หลี่ไหวอยากจะมอบมันให้แก่เฉินผิงอันที่ดูแลเขามาตลอดทาง แต่เฉินผิงอันไม่ได้รับไว้ บอกแค่ว่าให้เขาหลี่ไหวเก็บไว้ดีๆ
จากนั้นหลี่ไหวจึงสอดมันไว้ในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น
และยังมีตุ๊กตาดินเหนียวที่เหมือนมีชีวิตจริงอีกหนึ่งชุด เป็นเว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะที่มอบให้ พวกมัน ‘สูงใหญ่องอาจ’ ได้ไม่เท่าหุ่นไม้หลากสี ตุ๊กตาดินเหนียวห้าตัวสูงแค่ครึ่งนิ้ว มีทั้งจอมยุทธ์มือกระบี่ มีทั้งนักพรตเต๋าถือไม้ปัดฝุ่น มีแม่ทัพบู๊สวมเกราะ มีหญิงสาวขี่กระเรียน และยังมีชายคนตีฆ้องบอกเวลา หลี่ไหวล้วนตั้งฉายาให้กับพวกมัน และมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับทุกตัว
ตอนนั้นเซียนกระบี่เว่ยที่บินไปบินมายังพูดอะไรบางอย่างที่หลี่ไหวลืมไปนานแล้ว สำนักหยินหยาง เวทหุ่นเชิดสำนักโม่และพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดแปดอะไรนั่น ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่น ไหนเลยจะฟังเรื่องซับซ้อนวุ่นวายพวกนั้นเข้าหู ภายหลังตอนที่แนะนำคนจิ๋วดินเหนียวให้กับเพื่อนๆ ฟัง คิดอยากจะโอ้อวดถึงความล้ำค่ามีราคาของเจ้าตัวน้อยทั้งห้า แต่เค้นสมองคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกคำพูดโอ้อวดออกมาไม่ได้สักคำ ในที่สุดถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่หลี่ไหวก็ไม่ได้ไปถามหลี่เป่าผิงหรือหลินโส่วอีที่ความจำดี คิดว่าถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมพวกเขาที่สำนักศึกษา รอให้เขามาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน อย่างไรซะเฉินผิงอันก็จำทุกอย่างได้อยู่แล้ว
แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะลืมพวกเขาไปแล้ว
ตอนแรกยังเขียนจดหมาย ส่งภาพวาดมาให้หลี่เป่าผิง แต่ตอนหลังดูเหมือนว่าแม้แต่จดหมายก็ไม่เคยส่งมา
……
เมื่อเทียบกับหลี่ไหวและเด็กรุ่นเดียวกันสองคนที่ชอบก่อเรื่องและเอาแต่เล่นสนุกแล้ว
หลินโส่วอีได้กลายเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่คนของสำนักศึกษาซานหยาให้การยอมรับโดยทั่วกัน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการฝึกตนก็ล้วนไม่มีข้อบกพร่อง ได้รับความสำคัญจากพวกอาจารย์มากมายของสำนักศึกษา
เคยได้ติดตามเซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทอสนีอย่างลึกซึ้งเดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาและแม่น้ำของต้าสุย ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในสำนักศึกษาและอยู่ข้างนอกแทบจะแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง
คนก่อนหน้านี้ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูที่หนุ่มที่สุดของต้าสุย อีกทั้งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูยังเคยบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นวิญญูชน
เมื่ออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลินโส่วอีก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสะโอดสะองมาเป็นคุณชายผู้สง่างาม สตรีทั้งในและนอกสำนักศึกษาที่ชื่นชมหลินโส่วอีมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดรุณีน้อยหลายคนที่มาจากตระกูลลำดับต้นๆ ของเมืองหลวงต้าสุยมาเยือนสำนักศึกษาที่สร้างอยู่บนภูเขาตงซานเล็กๆ แห่งนี้ก็เพื่อได้มองหลินโส่วอีไกลๆ สักครั้ง
บนร่างของหลินโส่วอีเริ่มค่อยๆ บ่มเพาะบุคลิกสูงส่งที่นานวันก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากโลกีย์ไปทุกที
เมื่อชื่อเสียงของหลินโส่วอีโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นดั่งหยกขาวที่ไร้ตำหนิ เป็นเหตุให้จำนวนครั้งที่คนมีอำนาจหลายคนในตระกูลชั้นสูงของเมืองหลวงต้าสุยได้ยินชื่อเสียงของหลินโส่วอีระหว่างที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ และทุกคนต่างก็เริ่มย้ายสายตาไปให้ความสนใจบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่มากก็น้อย
สำหรับสายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงความเกี่ยวพันมากมายในชีวิตประจำวันเหล่านี้
หลินโส่วอีที่มีชาติกำเนิดเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางชั้นผู้น้อยในที่ว่าการทั้งไม่ได้รู้สึกภาคภูมิพึงพอใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายรังเกียจ
ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจก็คือการฝึกตน
หากเมื่อวานและวันนี้ยอมเผชิญกับความยากลำบากในการขัดเกลาจิตใจมากเท่าไหร่ วันพรุ่งนี้และอนาคตก็ยิ่งมีข้อบกพร่องน้อยเท่านั้น
สำหรับคลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ต้าสุย เนื่องจากได้มีประสบการณ์ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หลินโส่วอีจึงได้พบเห็นและได้ยินมามาก ราชวงศ์ที่เดิมทีมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมมากที่สุดทางทิศเหนือของทวีป เวลานี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเศร้าโศกทุกข์ตรม
แต่หลินโส่วอีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่เรื่องที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของบ้านเกิดกรีฑาทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่บุกไปทางใดทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
นอกจากมีอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของสำนักศึกษาที่ถ่ายทอดเวทอสนีให้แล้ว หลินโส่วอีเองก็ยังมุมานะตั้งใจศึกษาตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่ได้มาจากภูเขาฉีตุน
ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ผู้เฒ่าไปที่ขุนเขาเหนือทางชายแดนของต้าสุย และยังได้ไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาเสินเซียว ใช้เวลานานถึงสามเดือน หลินโส่วอีเพิ่งเคยนั่งเรือบินตระกูลเซียนเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นก็เพื่อไปดูเมฆสายฟ้าแห่งหนึ่งในระยะประชิด ภาพเหตุการณ์นั้นยิ่งใหญ่งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจ อาจารย์ผู้เฒ่าทะยานลมเดินทาง ออกจากเรือบินที่ส่ายโอนเอนเพื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารจับสายฟ้า รวบรวมพวกมันมาไว้ในขวดกระเบื้องตระกูลเซียนใบหนึ่งที่เอาไว้ใช้บรรจุสายฟ้าโดยเฉพาะ มีชื่อว่าขวดฟ้าร้องตีท้อง อาจารย์ผู้เฒ่ามอบให้หลินโส่วอีเป็นของขวัญ เพื่อสะดวกให้หลินโส่วอีนำไปเก็บปราณวิญญาณหลังจากกลับไปถึงสำนักศึกษาแล้ว
คืนนี้หลินโส่วอีเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังหอเก็บตำราเพื่ออ่านหนังสือ อาจารย์ที่อยู่เวรผลัดดึกย่อมไม่ขัดขวาง แม้ว่ากฎของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะค่อนข้างเข้มงวด แต่กลับไม่ได้ตายตัว
ขึ้นไปบนหอตำรา จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง
หลังจากที่หลินโส่วอีกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ขอแค่บำรุงลมปราณและจิตใจได้อย่างเหมาะสม แม้จะอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือ เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
หลินโส่วอีวางตำรากลับไปที่เดิม เดินมาที่หน้าต่าง เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณขุ่นมัวท่ามกลางฟ้าดินลดลงต่ำ ลมปราณสะอาดสดชื่นกำลังลอยขึ้นบน
โลกในสายตาของผู้ฝึกลมปราณไม่เหมือนกับในสายตาของคนธรรมดา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!