ชายชราลัทธิขงจื๊อยื่นเอกสารผ่านด่านคืนให้กับคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น
อาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้รู้สึกประทับใจในตัวของคนหนุ่มผู้นี้อย่างถึงที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่ามองเฉินผิงอันอีกครั้ง เห็นว่าเขาสะพายกระบี่ยาวและหีบหนังสือก็ยิ่งรู้สึกสบายหูสบายตา
สะพายหีบหนังสือและกระบี่ออกทัศนศึกษาไกลนับหมื่นลี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่บัณฑิตอย่างพวกเราทำเป็น และทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์รู้จักแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิงหรือไม่ นางชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “ในสำนักศึกษาของพวกเรามีใครที่ไม่รู้จักแม่หนูนี่บางเล่า อย่าว่าแต่ทั้งสำนักศึกษาเลย เกรงว่าแม้แต่เมืองหลวงต้าสุยก็ล้วนถูกแม่นางน้อยเดินจนปรุไปหมดแล้ว นางกระตือรือร้นมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นอยู่ทุกวัน ทำเอาคนแก่ที่ใกล้จะเดินไม่ไหวอย่างพวกเราอิจฉายิ่งนัก วันนี้นางก็โดดเรียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาอีกแล้ว หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วยาม ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกับเป่าผิงน้อยพอดี”
เฉินผิงอันถาม “นางออกไปจากสำนักศึกษาคนเดียวหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง”
เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเฉินผิงอัน อาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ แม่นางน้อยออกไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเกิดเรื่องเลยสักครั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมืองหลวงต้าสุยของพวกเราสงบสุขปลอดภัยมาโดยตลอด ขนบธรรมเนียมของผู้คนก็เรียบง่าย บวกกับที่เจ้ากรมพิธีการก็คือเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาพอดี เขามักจะมานั่งดื่มชากับเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายบนภูเขาตงซานแห่งนี้ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรหรอก”
เฉินผิงอันถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “ทำไม ครั้งนี้มาเยือนสำนักศึกษาซานหยาก็เพื่อมาหาเป่าผิงน้อยหรือ? ดูจากสำมะโนครัวของเจ้าบนเอกสารผ่านด่านก็เป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เป็นคนบ้านเดียวกับแม่นางน้อย ยังเป็นญาติกันด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เป็นแค่คนบ้านเดียวกัน ไม่ใช่ญาติ เมื่อหลายปีก่อนข้ามาเมืองหลวงต้าสุยพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นข้าไม่ได้ขึ้นเขาเข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเขา”
อาจารย์ผู้เฒ่าประหลาดใจเล็กน้อย ปีนั้นที่กลุ่มเด็กของเขตการปกครองหลงเฉวียนเข้ามาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา อันดับแรกก็ส่งกองทหารมากฝีมือไปรับที่ชายแดน จากนั้นก็ยิ่งเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษาด้วยองค์เอง เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก อีกทั้งฮ่องเต้ยังปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ประทานของให้แก่เด็กทุกคนที่มาขอศึกษาต่อ ตามหลักแล้วต่อให้คนหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เข้ามาในสำนักศึกษา ตนก็น่าจะได้เห็นเขาสักแสบสองแวบถึงจะถูก
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “เจ้าจะรอให้หลี่เป่าผิงกลับมาสำนักศึกษาอยู่ตรงนี้?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
แน่นอนว่าคนแรกที่เขาต้องการพบเจอในสำนักศึกษาซานหยา คือเป่าผิงน้อย
หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เฉินผิงอันต้องไปพบอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลี่ไหวที่อายุน้อยที่สุด
เพียงแต่พวกเขาล้วนเทียบกับแม่นางน้อยที่ชอบสวมผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงฤดูร้อนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่เคยปฏิเสธใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง เขาสนิทสนมใกล้ชิดกับเป่าผิงน้อยมากที่สุด ระหว่างเดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยเป็นเช่นนี้ ภายหลังตอนที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพียงลำพังก็ส่งจดหมายมาให้แค่หลี่เป่าผิงคนเดียว หลังจากนั้นก็ให้แม่นางน้อยที่เป็นผู้รับจดหมายช่วยอาจารย์อาน้อยอย่างเขานำจดหมายไปส่งต่อให้คนอื่นๆ ภาพวาดที่จิตรกรตระกูลฟ่านวาดให้บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาก็ส่งมาให้หลี่เป่าผิงหนึ่งภาพเพียงคนเดียว พวกหลี่ไหวต่างก็ไม่ได้รับ
ความใกล้ชิดห่างเหินที่แตกต่างกันเช่นนี้ หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เคยใส่ใจก็เท่านั้น หลินโส่วอีคือหยกงามในด้านการฝึกตน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์สกุลหลู
ส่วนหลี่ไหวที่เก่งแต่ในผ้าห่มของตัวเองนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังน่าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันก็ดี หรืออาเหลียงก็ช่าง ทุกคนล้วนสนิทสนมกับเขาที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่าโบกมือคลี่ยิ้ม “ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าควรเอาของไปวางไว้ในหอพักแขกของสำนักศึกษาก่อนจะดีกว่า ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงแอบดอดออกไป ต่อให้ไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาเร็วสุดก็ยังต้องเป็นช่วงยามสนธยาแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่เป็นข้อยกเว้น หากเจ้าจะรอนางอยู่ที่หน้าประตูนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสามชั่วยาม ไม่มีความจำเป็นหรอก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันหน้าไปมองพวกเผยเฉียนสามคน หากมีแค่ตนคนเดียว เขาก็ไม่ถือสาหากต้องรออยู่ที่นี่
เขาหันไปมองสุดปลายทางของถนนใหญ่แวบหนึ่ง
จูเหลี่ยนมองประเมินสิ่งปลูกสร้างของสำนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังประตูภูเขาอยู่ตลอดเวลา สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสร้างขึ้นอิงกับตัวภูเขา แม้ว่าจะเป็นการก่อสร้างใหม่ของกรมโยธาธิการต้าสุย แต่กลับตั้งใจอย่างถึงที่สุด ทำให้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโบราณเรียบง่าย แต่กลับสง่างาม
สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายจากต้าหลีมาอยู่เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!