กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 412

ในห้องหนังสือเงียบจนเข็มตกก็ยังได้ยิน

เฉินผิงอันกำลังใคร่ครวญถึงคำถามสองข้อนั้น เขาเตรียมจะจับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านในบรรจุเหล้าข้าวของตรอกเล็กขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่าไม่นานก็ปล่อยมือ

ชุยตงซานไม่ได้เร่งรัด

เหมาเสี่ยวตงใช้นิ้วถูไถไปที่ไม้บรรทัดเล่มนั้น

เฉินผิงอันกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ ข้าขอคิดอีกหน่อย”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มเจิดจ้า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ศิษย์ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง อาจารย์จะตอบหรือไม่ตอบก็ย่อมได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบอกลา ชุยตงซานบอกว่าจะพูดคุยกับเหมาเสี่ยวตงเรื่องสถานการณ์ของเมืองหลวงต้าสุยต่อจากนี้อีกสักครู่ จึงยังอยู่ต่อในห้องหนังสือ

ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปถึงหน้าประตู เขาหมุนตัวกลับมา ชี้นิ้วมาที่หน้าผากของชุยตงซาน “ยังไม่เช็ดออกอีกหรือ?”

ชุยตงซานทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง รีบยกมือขึ้นเช็ดรอยประทับสีชาดที่ได้มาจากตราประทับ พูดอย่างขัดเขินว่า “ออกไปจากสำนักศึกษาได้ระยะหนึ่งแล้ว ความสัมพันธ์กับเป่าผิงน้อยเลยห่างเหินกันเล็กน้อย อันที่จริงเมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่เป่าผิงน้อยพบข้าล้วนปรองดองสามัคคีกับข้ามาก”

เฉินผิงอันปิดประตูลง เสียงฝีเท้ากลางระเบียบค่อยๆ ขยับห่างออกไป

ชุยตงซานเดินย่องมาที่หน้าประตูห้อง เอาหูแนบประตูแล้วพลันหัวเราะเสียงดัง

เห็นเพียงว่าชุยตงซานยืดตัวขึ้นตรง ตั้งสองแขนขึ้นแล้วโบกอย่างแรงจนชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างพลิ้วไสวเป็นลูกคลื่น พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ต้องโดนด่าโดนตีแหะ”

เหมาเสี่ยวตงมองเจ้าคนที่ยิ้มจนตาหยีแล้วก็เอ่ยอย่างกังขาว่า “ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เจ้าไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ ตอนที่อยู่ต้าหลี จากคำบอกเล่าของฉีจิ้งชุนตอนที่ได้พบเจ้าในช่วงแรกๆ ฟังแล้วดูเหมือนว่าช่วงเวลานั้นเจ้าเอาจริงเอาจังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ชอบวางท่าอย่างมาก?”

ชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้นลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศสูง จากนั้นก็โน้มตัวไปด้านหน้า ทำท่าว่ายน้ำด้วยท่าลูกหมาตกน้ำ ว่ายไปว่ายมาอยู่กลางอากาศในห้องหนังสือที่เคร่งขรึมของเหมาเสี่ยวตง ปากก็พร่ำพูดไปด้วยว่า “ตอนที่ข้าถูกซิ่วไฉเฒ่าหลอกให้เข้าไปอยู่ในสำนักก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว หากจำไม่ผิด ลำพังเพียงแค่เวลาที่ข้าหนีจากแจกันสมบัติทวีปอันเป็นบ้านเกิด ท่องเที่ยวไปถึงตรอกเก่าโทรมของบ้านซิ่วไฉเฒ่าในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ใช้เวลาถึงสามปี ตลอดทางเจอแต่หลุมบ่ออุปสรรค ลำบากลำบนไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าสามปีให้หลัง ความขมขื่นหมดสิ้นแล้วความหวานชื่นก็ยังไม่มาเยือน พอฝึกตนจนประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็นว่าดันหล่นลงไปในหลุมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ต้องมีชีวิตอยู่อย่างเป็นกังวลทุกวัน กินอิ่มมื้อหนึ่งหิวมื้อหนึ่ง กังวลว่าวันไหนสองคนจะหิวตาย สภาพจิตใจจะเทียบกับข้าในเวลานี้ได้หรือ? เจ้านึกสภาพอเนจอนาถของข้ากับซิ่วไฉเฒ่าในตอนนั้นที่ต้องหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งตากแดดหน้าประตูทั้งที่ท้องร้องโครกคราก นับนิ้วคำนวณว่าวันไหนเงินที่สกุลชุยส่งมาให้จึงจะมาถึงออกหรือไม่? นึกภาพที่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาระหว่างนั่งเรือข้ามฟาก พวกเราสองคนเลยต้องขุดหาไส้เดือนไปตกปลาที่ริมลำคลอง ถึงทำให้ซิ่วไฉเฒ่ามีประโยคโด่งดังที่ทำให้เผ่าพันธ์วัวดินในใต้หล้าซาบซึ้งในพระคุณออกหรือไม่?”

“เพราะฉะนั้น ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าล้วนได้มาจากความหิวโหย นี่เรียกว่าผู้มีความสามารถทางวรรณกรรมมักมีชะตาชีวิตรันทด เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่ามีชื่อเสียงแล้วเขาเขียนบทความดีๆ ได้สักกี่มากน้อย? ส่วนที่ดีย่อมต้องมี แต่อันที่จริงไม่ว่าจะจำนวนหรือปณิธานก็ล้วนเทียบกับตอนก่อนหน้านั้นที่ยังไม่มีชื่อเสียงไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ภายหลังเขายุ่งนี่นะ ต้องเข้าร่วมกับงานโต้วาทีสามลัทธิ ร่วมงานเลี้ยงที่สถานศึกษาเชื้อเชิญ พวกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ร่ำร้องอยากจะขอให้เขาไปช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ถึงขนาดใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวหนึ่งบดขยี้ร่างทองขององค์เทพขุนเขาใหญ่องค์หนึ่งให้ปริแตก จากนั้นก็วิ่งไปที่ขอบฟ้าเพื่อทะเลาะกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ ขอร้องให้คนอื่นฟันเขาให้ตาย ไปงมถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกมาจากก้นแม่น้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลา เรื่องพวกนี้คือเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กๆ ก็ยิ่งมีมากดุจขนวัว ไปดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มกับสหายเก่าในร้านเหล้า เขียนจดหมายโต้ตอบกับคนอื่น ทะเลาะกันบนกระดาษ จะมีเวลามาเขียนบทความได้อย่างไร?”

เหมาเสี่ยวตงแค่นเสียงเย็นชา “เลิกโอ้อวดว่าตัวเองเป็นผู้มีประสบการณ์ต่อหน้าข้าสักที คนที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอย่างเจ้ายังมีหน้ามาหวนนึกถึงความทรงจำในช่วงเวลาที่ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่อีกหรือ”

ชุยตงซานลอยตัวกลางอากาศ วนอ้อมเก้าอี้ตัวที่เหมาเสี่ยวตงนั่งตัวตรงอย่างสำรวมรอบหนึ่งอย่างสบายอุรา “เสี่ยวตงเจ้านี่นะ แม้ว่าเจ้าจะหวังดี กลัวว่าข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าจะร่วมมือกันเล่นงานอาจารย์ของข้า ดังนั้นจึงแสวงหาคำว่า ‘ปิดกั้นไม่สู้ไหลรื่น’ ให้กับทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ถึงอย่างไรความรู้ของเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป ทว่าข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้า ตอนนี้ข้าชุยตงซานไม่ใช่บัณฑิตประเภทที่ปากหวานก้นเปรี้ยวอีกแล้ว เพราะเห็นแก่ความดีของเจ้าก็เลยช่วยเจ้าจัดการกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้น สิ่งปลูกสร้างในสำนักศึกษาก็ไม่เสียหายเลยสักนิด หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าที่เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษาจะทำแบบนี้ได้หรือ? สามารถทำให้ชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวไม่ต้องถูกทำลายได้ไหม?”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพ่อแม่เจ้าที่ปีนั้นให้กำเนิดคนดีมีเมตตาอย่างเจ้าสินะ?”

ชุยตงซานพลิกตัวหมุนกลับ เปลี่ยนมาเป็นท่านอนหงาย พูดอย่างขุ่นเคือง “ทะเลาะกันก็ทะเลาะกัน ด่าคนก็ด่าคน ลากเอาพ่อแม่บรรพบุรุษมาเกี่ยวข้องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน?”

เหมาเสี่ยวตงจุ๊ปากพูด “หลังจากที่เจ้าชุยตงซานทรยศต่อสำนักก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง เคยทำเรื่องชั่วร้ายอะไร เคยพูดจาสกปรกแบบใดบ้าง ในใจเจ้าเองจะไม่รู้เลยหรือ? ข้าเองก็แค่เรียนรู้จากเจ้ามาอย่างผิวเผินเท่านั้น”

ชุยตงซานพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “เสี่ยวตงเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้าเสียหน่อย จะมาเรียนรู้จากข้าทำไม? หากเจ้าเต็มใจจ่ายเงินเพื่อการเรียนรู้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะสอนเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่า บัณฑิตขโมยความรู้คนอื่นก็คือการขโมยอยู่ดี!”

เหมาเสี่ยวตงพลันลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าต่าง หัวคิ้วขมวดแน่น ร่างพุ่งวูบหายไป ชุยตงซานก็หายตัวตามไปด้วย

คนทั้งสองมายืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ของยอดเขาตงหัว เหมาเสี่ยวตงถามว่า “ข้าแค่พอจะอาศัยโชคชะตาบุ๋นของต้าสุยมาสัมผัสกับสัญญาณบางอย่างที่ล่องลอยไม่อยู่นิ่งได้อย่างเลือนราง แต่ยากที่จะลากตัวพวกเขาออกมาจริงๆ สรุปว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร? พอจะบอกชื่อแซ่ได้ไหม?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!