เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในสำนักศึกษาซานหยาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด และต้นตอของหายนะก็คือจ้าวซื่อที่รองเจ้าขุนเขาบางท่านเชื้อเชิญให้มาสอนหนังสือ ดังนั้นพอเหมาเสี่ยวตงไปพูดคุยกับรองเจ้าขุนเขาซึ่งมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของต้าสุยแล้ว สุดท้ายก็แยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ รองเจ้าขุนเขาท่านนั้นรู้สึกเหมาเสี่ยวตงกำลังกำจัดคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเอง จงใจสาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ตน จึงโยนภาระหน้าที่ทิ้ง บอกว่าจะไม่เป็นรองเจ้าขุนเขาแล้ว จะไปอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ทางสำนักจะตั้งศาลเตี้ยลงโทษหรือเหมาเสี่ยวตงจะบอกให้ราชสำนักต้าสุยฆ่าล้างตระกูลของเขา เขาก็จะยอมรับ สุดท้ายโหวกเหวกเสียงดังว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงอย่าได้คิดจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
เหมาเสี่ยวตงถูกตาแก่คร่ำครึผู้นั้นทำให้โมโหไม่น้อย ดังนั้นจึงปล่อยหมาออกไปกัดคน บอกให้ชุยตงซานจัดการ
ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง กระโดดโลดเต้นไปพูดคุยเปิดอกกับอีกฝ่าย ไม่ถึงครึ่งชั่วยามชุยตงซานก็เดินตุปัดตุเป๋มาขอความดีความชอบที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง บอกว่ารองเจ้าขุนเขาคนนั้นไม่มีปัญหา จ้าวซื่อก็ไม่มีปัญหา นี่เป็นเพียงแค่หายนะที่มาเยือนโดยที่ใครไม่ทันตั้งตัวจริงๆ เหมาเสี่ยวตงไม่ค่อยวางใจนัก เขารู้สึกว่าสีหน้าของชุยตงซานเหมือนหนูที่แอบขโมยกินไก่น่องไก่ จำต้องเอ่ยเตือนไปคำหนึ่งว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกหลี่เป่าผิง หากเจ้าชุยตงซานกล้าเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นของส่วนตัว ใช้อุบายต่ำช้าคิดทำร้ายคนอื่น…ไม่รอให้เหมาเสี่ยวตงพูดจบ ชุยตงซานก็ตบอกรับรองว่าเขาทำงานด้วยใจที่เที่ยงตรงเป็นกลางจริงๆ
เหมาเสี่ยวตงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
และเพียงไม่นานชุยตงซานก็เดินอาดๆ ออกมาจากสำนักศึกษา ใช้หนังหน้ากากที่เพิ่งปลดมาจากใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด บวกกับเวทอำพรางตาที่ไม่ธรรมดาอีกเล็กน้อยเดินเข้าไปในจุดพักม้าที่ต้าหลีสร้างขึ้นใหม่ในเมืองหลวงอย่างเปิดเผย ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ทูตของต้าหลีมาพักแรม
เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังลงจากภูเขา แต่ไม่ได้แอบติดตามชุยตงซานไป
วัตถุดิบวิเศษที่เฉินผิงอันจะใช้ในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง สองชิ้นสุดท้ายที่ขาดไปยังจำเป็นต้องอาศัยมิตรภาพส่วนตัวในการไปหามา
ทางศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยก็ยังต้องไปเยือน
แต่ตอนนี้ต้องดูท่าทีของฮ่องเต้ต้าสุยเสียก่อนว่าจะจับกลุ่มคนที่เข้าร่วมการลอบสังหารอย่างไช่เฟิง เหมียวเริ่นขังคุกด้วยวิธีการที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะทำตัวเลอะเลือน คิดทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเลย สำหรับเรื่องนี้เหมาเสี่ยวตงคิดอย่างเรียบง่าย หากราชสำนักต้าสุยจัดการอย่างคลุมเครือ ถ้าเช่นนั้นในเมื่อสำนักศึกษาสร้างอยู่บนภูเขาตงหัว สำนักศึกษาซานหยาจะยังคงทำการเปิดสอนดังเดิม เหมาเสี่ยวตงจะไม่มีทางใช้คำกล่าวว่าสำนักศึกษาดำรงอยู่รุ่งเรือง สำนักศึกษาทอดทิ้งตกต่ำไปข่มขู่สกุลเกาเกอหยางเด็ดขาด แต่เขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ไม่มีโทสะ ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้อย่างเจ้า ข้าเหมาเสี่ยวตงถูกนักฆ่าห้าคนล้อมสังหาร แล้วยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดบุกเข้าไปฆ่าคนถึงในสำนักศึกษา เมืองหลวงแห่งนี้เป็นห้องส้วมผุพังที่ลมพัดเข้าได้จากแปดทิศหรืออย่างไร?
ขโมยขโจรนึกอยากจะเข้าก็เข้า นึกอยากจะออกก็ออกงั้นรึ?
ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือสาหากจะไปเยือนศาลบุ๋นและสถานที่อื่นๆ ที่มีโชคชะตาบุ๋นรวมตัวกัน แล้วกวาดเอาโชคชะตาบุ๋นของสถานที่เหล่านั้นมาโดยไม่เลือกวิธีการ ส่วนข้อที่ว่าเหมาเสี่ยวตงที่ขนย้ายสิ่งของไปแล้วจะยังทิ้งประโยคว่า ‘เหมาเสี่ยวตงเคยมาเยือนที่นี่’ ไว้บนผนังหรือไม่ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขา ถึงอย่างไรสกุลเกาเกอหยางก็ทำตัวหน้าไม่อายก่อน
ชุยตงซานไม่ได้รั้งรออยู่ที่จุดพักม้านานนัก เพียงไม่นานเขาก็กลับมาถึงสำนักศึกษา
เฉินผิงอันกำลังศึกษาพิจารณาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการ ‘ขอยืม’ ชะตาบุ๋นมาจากต้าสุยที่จำเป็นต้องวางแผนกันใหม่ หลินโส่วอีไปขอคำตอบไขปัญหายากในการฝึกตนจากต่งจิ้งผู้รอบรู้ เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวเริ่มเข้าเรียนกันต่อ เผยเฉียนถูกหลี่เป่าผิงลากให้ไปเรียนด้วยกัน บอกว่าอาจารย์ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนไปนั่งเรียนด้วย ปากเผยเฉียนพูดขอบคุณพี่หญิงเป่าผิง แต่อันที่จริงในใจกลับทุกข์ระทม
จูเหลี่ยนไปเดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาเพียงลำพังต่ออีกครั้ง
ดังนั้นในเรือนพักตอนนี้จึงเหลือแค่เซี่ยเซี่ยกับสือโหรว
ตอนที่ชุยตงซานเดินยิ้มตาหยีกลับเข้ามาในเรือน เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวต่างก็รู้ว่าท่าไม่ดี มีความรู้สึกว่าจะต้องเจอกับหายนะ
กระบี่บินหลีหว่อเล่มที่อยู่ในหน้าท้องของสือโหรวถูกชุยตงซานใช้เวทลับดึงออกไปจากคราบร่างเซียนแล้ว ตอนนั้นสือโหรวรู้สึกไม่ต่างจากสตรีให้กำเนิดบุตร เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง นึกสงสัยว่าชุยตงซานจงใจทำเช่นนั้น เพียงแต่สือโหรวกลับไม่กล้าแสดงออก
ชุยตงซานสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง เดินขึ้นบันไดไปนอนอยู่บนระเบียง ปากก็พูดบ่นว่า “คนมีความสามารถต้องเหนื่อยยาก ลำบากคุณชายของเจ้าแล้วจริงๆ”
เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวนั่งอยู่บนระเบียงห่างไปไม่ไกล ไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง “พวกเจ้าไปเอาโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีสองใบและกระดานหมากมาสิ”
หัวใจเซี่ยเซี่ยหดรัดตัว สีหน้าซีดขาว ได้แต่ไปยกกระดานหมากและโถเครื่องเคลือบลายครามสองใบมาพร้อมกับสือโหรว
ชุยตงซานเปิดฝาโถแล้วคีบเม็ดหมากออกมาหนึ่งเม็ด เป่าลมใส่หนึ่งที เช็ดถูอย่างระมัดระวังแล้วพลันเบิกตากว้าง สองนิ้วคีบเม็ดหมากเมฆหลากสีที่ได้มาจากวิธีการหลอมใหญ่ ‘กลั่นเป็นหยด’ ของหอแก้วหลากสีนครจักรพรรดิขาวชูขึ้นสูง ภายใต้แสงแดดสาดส่อง มันสะท้อนประกายแสงเรืองรอง เขาใช้สองนิ้วบิดหมุนเบาๆ ไม่รู้ว่าทำไม บริเวณโดยรอบของเม็ดหมากเมฆหลากสีที่อยู่บนปลายนิ้วของชุยตงซานถึงมีไอหมอกแผ่อบอวล ไอน้ำลอยกรุ่น คล้ายก้อนเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวที่สมชื่ออย่างแท้จริง
ชุยตงซานหันหน้ามาจ้องเซี่ยเซี่ย
ในใจเซี่ยเซี่ยประหวั่นพรั่นพรึง หรือว่าเม็ดหมากเมฆหลากสีนี้ถูกพวกหลี่ไหวเผยเฉียนกระทบกระแทกจนเกิดตำหนิ?
ชุยตงซานพลันหัวเราะร่าเสียงดัง “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีนัก ช่วยเพิ่มหน้าตาให้แก่คุณชายไม่น้อย ไม่อย่างนั้นอาศัยฝีมือในการควบคุมใจกลางค่ายกลที่ห่วยแตกของเจ้าเซี่ยเซี่ยครั้งนี้ ข้าคงทนไม่ไหวขับไล่เจ้าออกจากบ้านไปแล้ว เลี้ยงดูมานานขนาดนี้ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้อยปียากจะพานพบของราชวงศ์สกุลหลู ผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอนอะไรนั่น จะดีกว่าหลินโส่วอีได้แค่ไหนกันเชียว? ข้าว่าเป็นแค่คนมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญนี่แหละ”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างขลาดๆ “คุณชายไม่โทษที่ข้าปล่อยให้พวกเผยเฉียนหลี่ไหวย่ำยีเม็ดหมากเมฆหลากสีหรอกหรือ?”
ชุยตงซานตบหน้าผากตัวเอง “เจ้านี่มันโง่จริงๆ แต่คนโง่ก็มีโชคของคนโง่”
หากเซี่ยเซี่ยแสดงออกถึงความตระหนี่ถี่เหนียว นั่นก็ไม่เท่ากับว่าเขาชุยตงซานอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวด ชักนำนางไปในทางที่ดีไม่ได้หรอกหรือ? ถึงสุดท้ายแล้วอาจารย์ของตนจะตำหนิใคร?
สำหรับในใจของอาจารย์แล้ว เม็ดหมากเมฆหลากสีสองโถมีค่าสำคัญเท่ากับขนเส้นหนึ่งของหลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวหรือไม่?
ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โยนเม็ดหมากเมฆหลากสีกลับเข้าไปในโถ เสียงกริ้งดังกังวานคล้ายจะไปสัมผัสโดนตราผนึกของเวทลับบางอย่าง โถใบนั้นจึงปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ มีเมฆหลากสีลอยขึ้นมาเหนือโถเก็บเม็ดหมาก ในกลุ่มเมฆพอจะมองเห็นเค้าโครงร่างของนครจักรพรรดิขาวขนาดจิ๋วได้อย่างเลือนราง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายรุ้งพาดผ่านท้องนภา กระเรียนเซียนสีขาวหิมะขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหลายตัวพากันส่งเสียงร้องแหลมยาวดังสะท้อนไปทั่วนภากาศ
สือโหรวที่มองอยู่ถึงกับจิตใจแกว่งส่าย ชุยตงซานผู้นี้ซุกซ่อนความลับไว้มากมายเพียงใดกันแน่?
ชุยตงซานคลี่ยิ้มจริงใจให้เซี่ยเซี่ยได้เห็นเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอย่างข้าก็แบ่งแยกการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจน ว่ามาเถอะ อยากได้อะไรเป็นรางวัล ขอแค่เจ้าพูดมาก็พอ”
เซี่ยเซี่ยมองพญามารชุดขาวที่เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับนาง ความคิดนับร้อยตีกันให้วุ่น
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วมาชี้เซี่ยเซี่ยแล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “บุคคลยิ่งใหญ่พูดจาโอภาปราศรัยอย่างอ่อนโยนแค่ไม่กี่คำก็ทำให้คนมากมายซาบซึ้งในพระคุณ จดจำไว้ขึ้นใจ แบบนี้ดีจริงๆ หรือ?”
เซี่ยเซี่ยรู้สึกเหมือนตกสู่หลุมน้ำแข็ง
ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังแขนขาแข็งทื่อ ชุยตงซานยื่นมือมาตบข้างแก้มของนาง แต่ไม่ได้ออกแรงมากนัก “ไม่เป็นไร เมื่อเทียบกับช่วงแรกแล้ว ถือว่าเจ้ามีพัฒนาการไปมาก แค่นี้ก็พอแล้ว”
ชุยตงซานยกมือขึ้น แบฝ่ามือออกมา กระบี่บินหลีหว่อที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาเล่มนั้นหมุนคว้างอยู่บนฝ่ามือของเขาช้าๆ กระบี่บินทั้งเล่มเป็นสีแดงสด มีประกายไฟอันเป็นแก่นแท้บริสุทธิ์แวววาวล้อมวน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีเจ้าของเล่มนี้ ข้ามอบให้เจ้า จงตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่คาดหวังว่าจะหลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยากเกินไป เจ้าแค่ต้องเก็บซ่อนมันไว้ในช่องโพรงลมปราณบางแห่ง สามารถเอามาใช้เป็นท่าไม้ตายที่เก็บไว้ก้นกรุ ถึงเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่เวลารับมือกับศัตรู โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น อย่าทำให้คุณชายของเจ้าต้องขายหน้า อย่าเห็นว่าตอนนี้ขอบเขตของหลินโส่วอีไม่สูง นั่นเป็นเพราะต่งจิ้งจงใจกดขอบเขตของหลินโส่วอีเอาไว้ หากเจ้าไม่ตั้งใจให้มากหน่อย สักวันย่อมต้องถูกหลินโส่วอีไล่ตามมาทัน”
เซี่ยเซี่ยเห็นว่าชุยตงซานไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงปรับปราณวิญญาณบังคับกระบี่บินหลีหว่อให้พุ่งมาที่มือของตัวเองอย่างระมัดระวัง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าทรัพย์สมบัติแทบทั้งหมดและแรงกายแรงใจเกือบทั้งชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งล้วนมารวมอยู่ในวัตถุเล็กๆ ชิ้นนี้เกือบหมดแล้ว
หากเอามาหักเป็นเงินเทพเซียน อย่างน้อยก็มีค่าถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชหรือมากกว่านั้น!
ตอนที่ราชวงศ์สกุลหลูเจริญรุ่งเรืองสุดขีดและยังไม่ล่มสลาย ภาษีของแคว้นในหนึ่งปีได้สักกี่มากน้อยกันเชียว?
ชุยตงซานมองเซี่ยเซี่ยที่น้ำตานองหน้า เป็นเพราะบนใบหน้าสวมหน้ากากหนัง ใบหน้าของนางจึงเป็นใบหน้าดำเกรียมอัปลักษณ์
ชุยตงซานหุบสองขาเข้าด้วยกัน กระโดดเหยงถอยไปด้านหลัง สถบด่าเสียงดัง “หน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ยังจะร้องไห้อีก เจ้าคิดจะทำให้คุณชายของเจ้าอย่างข้าตกใจตายหรือไร?!”
เซี่ยเซี่ยอับอายสุดขีด รีบหันหน้าไปเช็ดน้ำตาทางอื่น
ชุยตงซานโน้มตัวลง งอนิ้วกระดิกเรียกสือโหรว “น้องสาว มานี่ พวกเรามาพูดคุยกันหน่อย ตลอดทางมานี้เจ้าปกป้องอาจารย์ของข้า ไม่มีคุณความชอบก็ถือว่าพอจะมีคุณความเหนื่อยยาก ครั้งนี้ยังช่วยข้าจับกระบี่บินหลีหว่อมาได้เล่มหนึ่ง ข้าต้องตอบแทนเจ้าดีๆ ซะแล้ว”
สือโหรวขนลุกขนชัน ส่ายหน้าอย่างแรง
ลางสังหรณ์บอกกับนางว่า หากเดินเข้าไปหาเขาจะเจอกับสถานการณ์ที่อยู่ไม่สู้ตาย
ชุยตงซานแสยะยิ้ม พลันบิดหมุนข้อมือ เห็นเพียงว่าตรงหน้าท้องของเซี่ยเซี่ยระเบิดบุปผาเลือด ตะปูกักมังกรตัวหนึ่งถูกชุยตงซานใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณ จากนั้นเขาก็คว้าจับความว่างเปล่า กระชากสือโหรวมาด้านหน้า แล้วตบเข้าที่หน้าผากของนาง ตอกตะปูกักมังกรตัวนั้นผลุบเข้าไปในหว่างคิ้วของตู้เม่า เข้าไปในแสงมืดมนท่ามกลางจิตวิญญาณของสือโหรว
เซี่ยเซี่ยนอนพังพาบอยู่กับพื้น เอามือกุมหน้าท้อง แม้ว่าจะเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า สีหน้าท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แต่ในใจกลับปิติยินดี
ชุยตงซานงอห้านิ้วจับศีรษะสือโหรว ก้มหน้าลงมองสือโหรวที่จิตวิญญาณคร่ำครวญหวนไห้ไม่หยุด ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รสชาติเป็นอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!