กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 460

สือโหรวลุกพรวดขึ้นยืน แหงนหน้ามองไปจึงเห็นว่าตรงชั้นสอง ผู้เฒ่าที่ไม่สวมรองเท้าหิ้วคอเฉินผิงอันยกขึ้นเบาๆ ข้ามราวระเบียงออกมา แล้วปล่อยมือโยนเขาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี สือโหรวจึงพุ่งเข้าไปรับตัวเฉินผิงอันไว้อย่างลนลาน

ผู้เฒ่ากล่าว “ไอ้หมอนี่คิดมากไป นอนน้อยไป ให้เขานอนหลับให้เต็มอิ่มเสียก่อน ช่วงนี้อย่าทำเสียงดังรบกวนให้เขาตื่น”

สือโหรวรีบวางเฉินผิงอันลงบนเตียงของชั้นหนึ่งแล้วถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ ปิดประตูลงแล้วมานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตูอย่างว่าง่าย

ผู้เฒ่าเดินลงจากเรือนไม้ไผ่ มาหยุดอยู่ตรงริมหน้าผา วันนี้ไอเมฆหมอกหนาทึบบดบังการมองเห็นทัศนยภาพที่เป็นดั่งม้วนภาพวาดงดงามยิ่งใหญ่ ประหนึ่งสายลมแห่งสวรรค์พัดหอบสะเทือนกระแสน้ำขึ้นของมหาสมุทร ยืนอยู่บนจุดสูงของภูเขาลั่วพั่ว ประหนึ่งอยู่ในแคว้นแห่งหนองบึง ทางซ้ายมือมียอดเขาแห่งหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาลั่วพั่วซึ่งตระหง่านง้ำทะลุทะเลเมฆ ประหนึ่งมีเซียนสวมรองเท้าเกี๊ยะส้นสูงก้าวเดิน ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งก็สลายทะเลเมฆทั้งแห่งออกไป เบื้องหน้าจึงราวกับคนเปิดประตูแล้วมองเห็นขุนเขาสายน้ำ

ภาพนี้ทำให้สือโหรวที่มองดูอยู่หนังตากระตุกน้อยๆ รีบหลุบตาลงต่ำทันที

หากการโบกชายแขนเสื้อนี้เกิดขึ้นกับคราบร่างเทพเซียนของนาง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจิตวิญญาณของตนจะแหลกสลายไปเลยหรือไม่

ก่อนหน้านี้ชุยตงซานที่นางหวาดกลัวที่สุดผู้นั้นก็เคยมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว และเขาก็ขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน สือโหรวไม่เคยเห็นชุยตงซานที่ห่อเหี่ยวเซื่องซึมเช่นนี้มาก่อน ผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้อง ไม่ได้เดินออกมา ชุยตงซานเองก็นั่งอยู่ตรงระเบียงนอกประตู ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน แต่เขากลับเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่

นับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมาสือโหรวก็รู้แล้วว่าควรจะคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่าอย่างไร ง่ายดายมาก นั่นคือพยายามอย่าพาตัวไปปรากฏอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าแซ่ชุย

ผู้เฒ่ายืนนิ่งทอดสายตามองไปไกล

งูดำขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่หน้าท้องมีเส้นสีทองและมีกรงเล็บสี่กรงเล็บโผล่พรวดออกมาจากประตูภูเขา เลื้อยเลียบเส้นทางภูเขาที่กว้างขวางพุ่งพรวดขึ้นเขามาอย่างรวดเร็ว พอขยับเข้าใกล้เรือนไม้ไผ่ ให้ตายอย่างไรงูดำก็ไม่กล้าเข้าไป เผยเฉียนรู้ว่ามันเคารพกฎ จึงไม่ทำให้มันลำบากใจ นางพลิ้วกายลงบนพื้น ค้อมตัววิ่งตะบึงไปด้านหน้า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตามหลังนางไปติดๆ ประหนึ่งผีเสื้อสีชมพูที่บินว่อน มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้นท่าทางซังกะตายอย่างเห็นได้ชัด เขาไถลตัวลงจากหางของงูดำ เดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังเด็กทั้งสองไป ใกล้จะได้พบหน้าเฉินผิงอันแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวถึงได้รู้สึกใจฝ่อนิดๆ

เผยเฉียนไปถึงเรือนไม้ไผ่ สือโหรวก็รีบย้ำคำพูดของผู้เฒ่าอีกรอบ เผยเฉียนทั้งผิดหวังทั้งเป็นห่วง นางเดินอยู่หน้าประตูเรือนเบาๆ พยายามจะมองลอดร่องไม้ไผ่สีเขียวเข้าไปให้เห็นภาพในห้อง แน่นอนว่านางไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่นางยังคงไม่ถอดใจ เดินอ้อมวนรอบเรือนไม้ไผ่ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ของสือโหรว ยกสองแขนกอดอกอย่างขุ่นเคืองใจ อาจารย์กลับมาถึงบ้านเกิดกลับไม่ได้เห็นนางเป็นคนแรก ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่แบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าอย่างนางช่างไม่ได้เรื่องเอา ไม่รอบคอบพิถีพิถันเสียเลย

เผยเฉียนแอบส่งสายตาให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเข้าใจความหมายของนางได้ทันทีจึงวิ่งไปหาผู้เฒ่าเปลือยเท้า ถามเสียงเบา “ท่านปู่ชุย นายท่านของข้าสบายดีไหม?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “มีปัญหาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแก้ไขไม่ได้ รอให้เฉินผิงอันนอนอิ่มแล้วค่อยป้อนหมัดใหม่ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหน้าซีดเผือด

ป้อนหมัด?

นางรู้ดีเลยล่ะว่าสภาพของนายท่านในปีนั้นต้องใช้คำว่าอเนจอนาถอย่างจริงแท้แน่นอน

เด็กชายชุดเขียวที่แอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งสองอยู่ตลอดเวลาก็ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ นายท่านผู้น่าสงสาร เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็กระโดดลงหลุมเพลิงหลุมใหญ่เสียแล้ว มิน่าเล่าออกเดินทางไกลครั้งนี้ถึงไปร่อนเร่อยู่ข้างนอกนานถึงห้าปีกว่าจะตัดใจกลับมาได้ หากเปลี่ยนมาเป็นเขา ห้าสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะกล้ากลับมา

เฉินผิงอันหลับไปสองวันหนึ่งคืนเต็มถึงจะฟื้นตื่น พอลืมตาขึ้นก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปลาหลีกระโดด (ท่านอนหงายแล้วดีดตัวขึ้น) เดินออกจากห้องก็เห็นว่าเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนเฝ้ายามอยู่นอกประตู พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัว ศีรษะของเผยเฉียนเอียงพิงพนักเก้าอี้ ขาทั้งสองข้างยืดออก นอนหลับไปแล้ว แถมยังน้ำลายไหลด้วย สำหรับเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านแล้ว นี่น่าจะเรียกว่ามีใจแต่ไร้กำลัง เป็นความน่าจนใจในชีวิตคน เฉินผิงอันลดน้ำหนักฝีเท้าให้เบาลง ทรุดตัวลงนั่งยองมองเผยเฉียน ครู่หนึ่งต่อมานางก็ยกมือขึ้นเช็ดปาดคราบน้ำลายลวกๆ แล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง ยังพึมพำอะไรเบาๆ ฟังไม่เป็นคำ

เฉินผิงอันลุกขึ้น บอกเป็นนัยให้จูเหลี่ยนตามเขามา คนทั้งสองเดินไปถึงหน้าผา ที่นั่นวางโต๊ะหินที่แกะสลักกระดานหมากล้อมไว้หนึ่งตัว และเก้าอี้หินสี่ตัวที่แกะสลักเป็นลายเมฆลักษณะโบราณเรียบง่าย

จูเหลี่ยนกดเสียงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเผยเฉียนเห็นสภาพนายน้อยตอนนี้คงต้องสงสารท่านแย่แน่”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่ถือว่าดีมากแล้ว ตอนนั้นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คิดไว้ ยังนึกว่าเจ็ดแปดปีก็ยังไม่อาจออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด แต่ดูจากจดหมายที่ส่งหากัน บ่าวเฒ่าไม่กล้าถามไปในจดหมาย แต่ก็พอจะรู้ว่าสามารถทำให้นายน้อยใช้ชีวิตหนึ่งวันเหมือนผ่านไปหนึ่งปีเช่นนี้ได้ คงต้องเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนออกมาสองกา ให้ตัวเองกับจูเหลี่ยนคนละกา พวกเขาชนกาเหล้ากันเบาๆ เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะหิน แขนข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “ถ้อยคำมากมายยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว”

“ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่พูดถึงกัน ก็หนีไม่พ้นความสามารถในการรับทัณฑ์ทรมานจากสวรรค์ก็เท่านั้น”

จูเหลี่ยนหันมาจ้องซีกหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าวเสียงเบาว่า “สภาพของนายน้อยในตอนนี้ แม้ว่าจะอิดโรยซีดเซียวอย่างถึงที่สุด แต่บ่าวเฒ่าคือคนที่ผ่านทัณฑ์ความรักมาก่อน รู้ดีว่าสภาพนายน้อยในทุกวันนี้จะได้รับความสงสารความเห็นใจจากสตรีได้ดีที่สุด วันหน้าหากลงจากภูเขาไปที่เมืองเล็กหรือเขตการปกครอง ทางที่ดีที่สุดนายน้อยควรสวมงอบสักใบบดบังใบหน้า ไม่อย่างนั้นระวังว่าจะซ้ำรอยจวนจื่อหยาง แค่สตรีที่ผ่านทางมาเห็นนายน้อยไม่กี่ครั้ง รับรองว่านายน้อยคงต้องเจอกับหนี้รัก หนี้เสน่หาหลายบัญชีแน่นอน”

คำประจบเยินยอที่ไม่ได้เอ่ยมานาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!