เฉินผิงอันเซถลา เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็เหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนเซียนที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วกระจกหลากสี รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย พอเพ่งสายตามองให้ชัดๆ ก็เห็นว่าตัวเองมาอยู่ที่ตีนเขาลั่วพั่วแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยชินมานานแล้ว ปีนั้นตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวก็มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นประจำ
คือหนึ่งในการ ‘ลุยน้ำ’ น้ำที่ว่านี้ก็คือน้ำในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
วิชาอภินิหารย่อพื้นที่ของผู้ฝึกตนเซียนดินหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ การงัดข้อกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาเช่นนี้ นับว่าเป็นวิชาที่เล็กที่สุดชนิดหนึ่ง
และวิชาอภินิหารย่อพื้นที่ในปัจจุบันนี้ ก็ว่ากันว่าด้อยกว่าการย้ายภูเขาข้ามมหาสมุทรของเทพและเซียนในยุคบรรพกาลมากนัก เคยมีบทความที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลกล่าวไว้ว่า ‘ย่อพื้นที่น้ำพุเหลืองปรากฏ ลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้า’ นั่นจะเป็นอิสระเสรีไร้พันธนาการถึงเพียงใด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่เอ่ยโดยไม่ตั้งใจของชุยตงซานในอดีต ส่วนสามขุนเขาที่ถูกเคลื่อนย้าย สี่สมุทรที่ถูกก้าวข้ามซึ่งชุยตงซานพูดถึงนั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดลึก ภายหลังเขาซื้อตำราเทพเซียนเล่มหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัวถึงได้ค้นพบว่าใต้หล้าไพศาลไม่มีคำกล่าวถึงสามขุนเขาสี่มหาสมุทรเลย ภายหลังตอนที่พบกับชุยตงซานอีกครั้งที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ขณะที่คนทั้งสองเล่นหมากล้อมด้วยกัน เฉินผิงอันเคยถามถึงเรื่องนี้ ชุยตงซานหัวเราะหึหึ กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องปีมะโว้แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุย
เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งกำลังคาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก
เจ้าหมอนั่นก็เห็นเฉินผิงอันแล้วเช่นกัน ชายฉกรรจ์จุ๊ปากพูด “ใช้ได้นี่นา ย้ายขุนเขาย่อพื้นที่ ทำไม รังเกียจที่เจ้าหัวทองผู้นั้นเกะกะลูกหูลูกตา ก็เลยมาเป็นท่านเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วเองเสียเลยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เป็นวิชาอภินิหารของเว่ยป้อ ข้าไม่มีความสามารถนี้เสียหน่อย”
เฉินผิงอันพลันทิ้งร่างให้คลายตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ไปเดินเล่นกันไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ดูท่าแล้วน่าจะผอมลงสิบหรือยี่สิบจินเลยทีเดียว ส่วนสูงก็น่าจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทำไหล่ห่องอตัว เลยเห็นไม่ชัดว่าสูงขึ้น
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างตกตะลึง “ดูท่าหลังออกมาจากนครมังกรเฒ่า ทักษะของสุยโย่วเปียนจะเพิ่มขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันมึนงง “หมายความว่าอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “คนหนุ่มมักจะไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองเช่นนี้เสมอ พลังต้นกำเนิดของบางจุดในร่างเสียหาย เลือดลมย่อมไม่เพียงพอ ไขกระดูกก็แห้งขอด ปวดเอวจนนอนหงายไม่ได้ ข้าแน่ใจเลยว่าช่วงนี้เจ้าคงมีใจแต่ไร้กำลัง ฝึกหมัดไม่ได้เลยกระมัง? เดี๋ยวไปจับยาสมุนไพรดีๆ ที่ร้านของตาเฒ่ามาสักสองสามชุด บำรุงร่างกายให้ดี หากไม่ได้จริงๆ ก็ลองขอวิชาผสานลมปราณจากเว่ยป้อมาสักวิชาหนึ่ง วันหน้าค่อยกลับไปแก้ตัวกับเซียนกระบี่ใหญ่สุยใหม่ ไม่น่าอายหรอก บุรุษที่เพิ่งเป็นลูกนกหัดบินขาดประสบการณ์ มักจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีเสมอ”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิง ด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิง เมื่อเขาเอ่ยคำหยอกเย้าประเภทนี้ ยิ่งไปคิดเล็กคิดน้อยด้วยมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะฮึกเหิมมากเท่านั้น หากสุยโย่วเปียนอยู่ที่นี่ด้วย เจิ้งต้าเฟิงต้องโดนแทงหนึ่งกระบี่ไปแล้ว
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคำกล่าวของอริยะใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ ของลัทธิเต๋าประโยคหนึ่ง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มหามรรคาเงียบสงบว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้”
เจิ้งต้าเฟิงพ่นลมออกจากจมูก
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “อาจารย์ของเจ้ารับลูกศิษย์มาอีกสองคน ข้าเจอพวกเขาแล้ว สตรีผู้นั้นเหมือนเจ้ากับหลี่เอ้อร์ ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่เหตุใดดูเหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกเถาเย่ผู้นั้นจะไม่ได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกยุทธ?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ตาเฒ่าคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้ แม้แต่เรื่องที่ว่านอกจากหลี่เอ้อร์แล้ว ข้ายังมีศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงกระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ อีกมากน้อยแค่ไหน ข้าก็ยังไม่รู้เลย เจ้ากล้าถามหรือ? ตาเฒ่าไม่เคยชอบคุยเรื่องพวกนี้หรอก”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไรต่อ?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเหตุผล “นี่ไม่ใช่คำถามไร้สาระหรอกหรือ ก็ต้องเบิกตากว้างหาเมียน่ะสิ ตอนนี้ข้าแทบอยากจะถือโคมดวงใหญ่ไล่เก็บสตรีบนถนนกลับมาบ้านทุกค่ำคืน เจ้าคิดว่าเป็นชายโสดมันดีนักหรือ? ค่ำคืนยาวนาน นอกจากเสียงไก่ร้องเสียงหมาเห่าแล้ว ก็มีแค่เสียงผายลมเท่านั้น แล้วยังต้องอุดผ้าห่ม ตัดใจปล่อยให้มันลอยหนีไปไม่ลงด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า จะไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันลูบใบหน้า ไม่เอ่ยคำใด
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถาม “มีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าหน่อย”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าว่ามาสิ”
เจิ้งต้าเฟิงชี้ไปยังตีนภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ด้านหลัง “ข้าคิดจะกลับมาทำอาชีพเก่า เป็นคนเฝ้าประตู ขอน้ำขอข้าวจากเจ้ากิน ได้ไหม?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน “ไม่ได้ล้อเล่น?”
เจิ้งต้าเฟิงโมโหทันใด “ข้าผู้อาวุโสเร่งเดินทางมาตลอดทั้งคืนก็เพื่อมาพูดเล่นกับเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ เดี๋ยวข้าจะบอกให้จูเหลี่ยนมาสร้างเรือนหลังหนึ่งไว้ที่ประตูภูเขา”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน “บนภูเขาก็ต้องมีหลังหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนคงพากันหัวเราะเยาะ ทำให้ข้าหาเมียไม่ได้กันพอดี”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านแล้วขยับเข้าใกล้เจิ้งต้าเฟิง กระซิบกระซาบข้างหูเขา
เจิ้งต้าเฟิงฟังจบแล้วก็รีบเช็ดน้ำลาย หัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง? ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงไม่ดีต่อชื่อเสียงสักเท่าไหร่? ข้ายังเป็นชายโสดที่ไม่มีเมียนะ อีกอย่างเจ้ามอบให้นังหนูชุดกระโปรงชมพูนั่นไปแล้ว จะไปทวงคืนมาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดเองนะ วันหน้าอย่าเกิดนึกอยากได้ขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไม่ดูแลประตูภูเขา เอาแต่วิ่งขึ้นไปเตร็ดเตร่อยู่บนภูเขาทั้งวันล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงดึงแขนของเฉินผิงอัน “ไม่นะ จะให้ข้าพูดจาเหนียมอายสักคำสองคำไม่ได้เลยหรือไง ข้าเป็นคนหน้าบางขนาดไหน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย พวกเราท่องยุทธภพกันมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังตาไม่มีแววอยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “ช่างเถิด อย่าไปทวงยันต์หนังจิ้งจอกคืนจากเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเลย วันหน้าข้าค่อยหาคน ให้ช่วยหาคนซื้อจากนครลมเย็นมาให้เจ้าสักแผ่นก็แล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็พลันใคร่ครวญความหมายบางอย่างได้ จึงถามหยั่งเชิง “เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง เงินค่ายันต์ เจ้าจะไม่ออกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าต้องออกอยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นเงินค่าจ้างเฝ้าประตูภูเขาของเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงร้อนใจขึ้นมาทันที
เฉินผิงอันเก็บสีหน้าหยอกเย้าไป “หากเจ้าต้องการหาสถานที่ที่เงียบสงบไว้พักพิงสักแห่งจริงๆ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว อันที่จริงยังมีภูเขาอีกหลายลูก ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าว แท่นบูชากระบี่ เจ้าเลือกได้ตามสบาย”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “เฝ้าประตูไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หากข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ ก็ต้องหลบซ่อนตัว ไม่กล้าพบเจอใคร ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยังกลับมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนทำไม?”
เจิ้งต้าเฟิงตบไหล่ของเฉินผิงอันแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า เงยหน้ามองยอดเขาของภูเขาลั่วพั่ว “ที่นี่มีกลิ่นอายของคน ข้าชอบ เมืองเล็กในปีนั้น อันที่จริงก็มี เพียงแต่ว่าหลังเปลี่ยนจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมาเป็นพื้นที่มงคลแล้ว ไม่มีพันธนาการ ภูเขาแม่น้ำพันลี้สัมผัสพื้นดินแล้วหยั่งรากลึก ผู้คนสัญจรไปมา ปลาและมังกรปะปนกัน แค่มองดูแล้วครึกครื้นก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่อีก”
เฉินผิงอันเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนครั้งนี้ ตอนที่ผ่านเมืองเล็กเขาก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาแค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกมาตามตรงอย่างเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “หากวันใดข้ารู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วก็เฮงซวยเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าก็จะย้ายออก ถึงเวลานั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่บอกเจ้าก่อนล่ะ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นก็บอกข้าสักคำค่อยย้ายออกไปดีไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาพลันยื่นมือออกมาตบที่แผ่นหลังของเฉินผิงอัน “เลิกแสร้งทำเป็นหลังงอได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าเจิ้งต้าเฟิงกลายเป็นคนหลังค่อม แล้วอย่างไร? ข้าก็ยังหน้าตาหล่อเหลาอยู่ดี”
เฉินผิงอันพยายามเค้นรอยยิ้ม แต่ก็ยังยิ้มไม่ออก
คืนนั้นเจิ้งต้าเฟิงพักอยู่ในเรือนของจูเหลี่ยน คนบนเส้นทางเดียวกันสองคนนี้ แค่ทิ้งเหล้าไว้ให้พวกเขาสองกาและกับแกล้มสักสองสามจาน คาดว่าคงคุยกันได้ทั้งคืน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!