กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 463

สรุปบท บทที่ 463.2 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 463.2 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 463.2 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องวงในเหล่านี้จริงๆ เขาจึงจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

ผู้เฒ่าเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่าง “เด็กหนุ่มที่ซ่งจ่างจิ้งหมายตา แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ การที่หน่วยจานกานต้าหลีตามหาคนผู้นี้พบ ก็เป็นเพราะในอดีตตอนที่คนผู้นี้ฝ่าทะลุขอบเขต เขายังเป็นสามขอบเขตล่างของวิถีวรยุทธ แต่กลับสามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ประหลาดให้เกิดขึ้นในศาลบู๊หลายแห่ง และแต่ไหนแต่ไรมาต้าหลีก็ใช้ฝ่ายบู๊ในการสร้างรากฐานของแคว้นมาโดยตลอด ความขึ้นลงของโชคชะตาบู๊นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมสำคัญในสำคัญ แม้จะบอกว่าท้ายที่สุดแล้วหร่วนซิ่วช่วยหน่วยจานกานตามหาคนอีกสามคนมาชดเชย แต่แท้จริงแล้วนี่ก็ทำให้นางติดหนี้ในบัญชีของซ่งจ่างจิ้งไว้ไม่มากก็น้อย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?”

ผู้เฒ่าเกือบจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง นึกอยากจะต่อยให้เจ้าหมอนี่สมองเปิดโล่งเสียที

จิตของเฉินผิงอันสัมผัสได้จึงขยับเดินห่างไปหลายก้าวด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแบบย้อนกลับที่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด

ผู้เฒ่าพอจะคลายโทสะได้บ้างแล้ว ถึงไม่ได้ลงมือต่อ แต่เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจะแค่ช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่ช่วงชิงโชคชะตาบู๊ แต่หร่วนซิ่วจะคิดแบบนี้หรือ? สตรีโง่ๆ ใต้หล้าแห่งนี้ต่างก็หวังให้บุรุษข้างกายที่ตนสนิทสนมได้ผลประโยชน์มามากที่สุดไม่ใช่หรือไร ในสายตาของหร่วนซิ่ว ในเมื่อมีคนวัยเดียวกันกระโดดออกมาช่วงชิงชะตาบู๊กับเจ้า นั่นก็คือการช่วงชิงบนมหามรรคา นางจะทำอย่างไร แน่นอนว่าฆ่าให้ตายย่อมหมดเรื่อง ตัดรากถอนโคน กำจัดภัยร้ายที่อาจจะตามมาเบื้องหลังไปได้ตลอดกาล”

สีหน้าของเฉินผิงอันหม่นหมอง

ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถูราวระเบียง “ข้าไม่คิดจะแยกคู่ยวนยางส่งเดช เพียงแต่ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนซึ่งอายุปูนนี้แล้ว ก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง ปฏิเสธแม่นางคนหนึ่ง เจ้าก็ควรต้องรู้ว่านางทำเรื่องอะไรไปเพื่อเจ้าแล้วบ้าง เมื่อรู้แล้ว หากถึงเวลานั้นเจ้ายังคงปฏิเสธ แล้วอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน นั่นก็จะไม่ใช่ความผิดของเจ้าอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นความสามารถของเจ้า และเป็นสตรีอีกคนที่สายตาดีมากพอ แต่หากเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่แค่ต้องการให้ตัวเองถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายเท่านั้น มองดูเหมือนจิตใจแข็งแกร่งปานหินผา แต่แท้จริงแล้วกลับโง่เง่านัก”

ผู้เฒ่าหันหน้ามาถาม “หลักการเล็กน้อยแค่นี้ ฟังเข้าใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจ”

ผู้เฒ่าถามอีก “ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม่รู้”

ผู้เฒ่าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

เฉินผิงอันเห็นท่าไม่ดี ร่างก็พลันพลิ้วทะยานขึ้น ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันราวระเบียงแล้วพุ่งตัวออกไปนอกเรือนไม้ไผ่

แต่ไม่ได้พุ่งไปเป็นแนวเส้นตรง เขาพลันพาตัวดิ่งลงเบื้องล่างจนเท้าสัมผัสพื้น ขณะเดียวกันก็ใช้ยันต์ต่อพื้นที่แผ่นหนึ่งโดยไม่เสียดาย พร้อมกับตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้ชูอีกับสืออู่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง จากนั้นบังคับให้เจี้ยนเซียนพุ่งนำไปก่อน ส่วนตัวเองกระทืบพื้นหนักๆ ร่างเหมือนม้าควบเต็มฝีเท้าที่เหยียบขึ้นไปบนเจี้ยนเซียน ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่บังคับกระบี่ขึ้นไปบนทะเลเมฆที่การมองเห็นเปิดกว้างอีกเด็ดขาด แต่แนบติดไปกับพื้น อ้อมไปอ้อมมาอยู่ระหว่างป่าเขา เผ่นหนีไปด้วยความเร็วสุดขีด

ทำทุกอย่างนี้เสร็จในรวดเดียว

เห็นได้ชัดว่าวางแผนเส้นทางหนีไว้คร่าวๆ ในใจมานานแล้ว

ผู้เฒ่าบนชั้นสองกลับไม่ได้ออกหมัดไล่โจมตีต่อ เขากล่าวว่า “หากในเรื่องของความรักชายหญิง มีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งเหมือนตอนที่เผ่นหนี ป่านนี้เจ้าคงสามารถทำให้หร่วนฉงเลี้ยงเหล้าเจ้า หัวเราะเบิกบานเรียกเจ้าว่าลูกเขยคนดีได้นานแล้วกระมัง”

……

ท่ามกลางม่านราตรี ปลายยามอิ๋น (ช่วง 03.00-05.00)

ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง

จูเหลี่ยนที่กลิ่นเหล้าโชยคลุ้งออกมาจากร่างเดินขึ้นบันไดมานั่งลงบนขั้นบันไดข้างเท้าของเฉินผิงอัน แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “นายน้อย มีบ้านแต่กลับไม่ได้ ช่างน่าเวทนาจริงๆ”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้ารนหาที่เอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”

จูเหลี่ยนเอ่ยถาม “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว หากนายน้อยไม่ง่วง ไม่สู้พวกเราไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนใหม่ด้วยกันดีไหม? ไปรับเด็กสาวต่างถิ่นที่ตอนนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวมา บอกตามตรง เกียรติยศนี้ของบ่าวเฒ่า ต้องพูดจนปากแทบเปื่อย ถึงจะทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าตัวเองคือคนของภูเขาลั่วพั่ว พูดแล้วต้องทำได้จริง แต่คนครอบครัวนั้นก็ยื่นของเสนอมาแล้วว่า หวังจะให้คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจบนภูเขาลั่วพั่วปรากฏตัวสักครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เด็กสาวคนนั้นออกจากบ้านมาขึ้นเขาทั้งอย่างนี้ ดังนั้นนายน้อยคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ เดี๋ยวจะต้องผ่านภูเขาเฟิงเหลียงที่อยู่ทางทิศเหนือพอดี พวกเราไปดูร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งกันก่อน แล้วค่อยไปรับคนที่ตระกูลนั้น”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังผ่านภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ด้วยนะ”

เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนเบาๆ จูเหลี่ยนไม่หลบ ปล่อยให้เท้าของอีกฝ่ายเตะมาโดนแล้วร้องโอ้ย “เอวแก่ๆ ของข้า”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เป่าปากหนึ่งครั้ง เสียงทอดยาวไปไกล

ฉวีหวงที่ไม่ได้ถูกพันธนาการวิ่งมาถึงด้วยความรวดเร็ว

เฉินผิงอันไม่ได้พลิกตัวขึ้นหลังม้า เพียงแค่จูงม้าเดินลงภูเขาไปช้าๆ

เขาเคยชินที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปสี่ทิศ ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันกับฉวีหวงแล้วก็เท่านั้น

เฉินผิงอันถาม “เจิ้งต้าเฟิงหลับแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนถูมือยิ้มกล่าว “ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก คาดว่าตอนนี้พี่ใหญ่เจิ้งน่าจะยังนอนอ่านหนังสือเทพเซียนที่ข้าให้ยืมอยู่ในโปงผ้าห่มกระมัง”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน รู้สึกเสียใจภายหลังที่ถามคำถามนี้

จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เด็กสาวในเขตการปกครองคนนั้นมีชื่อแซ่ว่าอะไร?”

จูเหลี่ยนตอบ “เฉินยวนจี”

เฉินผิงอันกล่าว “เป็นชื่อที่ประหลาดนัก”

จูเหลี่ยนพูดต่อว่า “เด็กสาวอายุแค่สิบสามสิบสี่ แต่เรือนกายสูงโปร่ง สูงกว่าบ่าวเฒ่าไม่น้อย มองดูเหมือนเพรียวบาง แต่แท้จริงแล้วหากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่ารูปร่างกำลังดี เหมาะแก่การเป็นชั้นวางอาภรณ์แต่กำเนิด โดยเฉพาะขาสองข้างที่ยาว…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเลือกลูกศิษย์ให้ภูเขาลั่วพั่วหรือเลือกภรรยาให้ตัวเองกันแน่?”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “บ่าวเฒ่ามีใจเป็นโจร แต่น่าเสียดายที่ไร้กำลัง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้ารู้จักสหายคนหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยน เขาชื่อกวนอี้หราน ตอนนี้มีสถานะเป็นแม่ทัพแล้ว คือลูกหลานชนชั้นสูงที่นิสัยไม่เลวเลยทีเดียว วันหน้าข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับ แนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน น่าจะถูกคอกันดี”

ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ได้สิ หากทำการค้าได้สำเร็จจริงๆ ข้าก็จะแบ่งกำไรให้เจ้าส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”

ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “ยังกลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธเสียอีก”

เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะยังเป็นสหายกับเจ้าอีกได้อย่างไร?”

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ข้าอยากเป็นหุ้นส่วนกับท่าเรือตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งเอาไว้ จะแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร เจ้าตัดสินใจได้เลย เจ้าสามารถกดราคาได้เต็มที่ สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เงินเทพเซียน แต่เป็น…ข่าวคราว…ซึ่งมากับตัวผู้โดยสารที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เฉินผิงอัน ข้าสามารถรับรองได้ว่า ข้าจะพยายามจัดการดูแลท่าเรือให้ดีที่สุด ไม่กล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องมาคอยกังวล ซึ่งในเรื่องนี้มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งว่า หากเจ้ามีการประมาณการณ์ของรายรับท่าเรือไว้ก่อน ก็สามารถบอกมาได้ หากข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้กำไรมากกว่าที่เจ้าคาดไว้ ข้าถึงจะยอมรับส่วนแบ่งตรงนี้ แต่หากข้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่พูดถึงสักคำ แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองไปปรึกษากับคนอื่นดูก่อน แล้วจะมาบอกราคาแก่เจ้า ในเมื่อเป็นการทำการค้า ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแน่นอน”

ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่นี้เจ้าก็เกรงใจข้ามากแล้ว”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งเหล้ากาหนึ่งที่เหลืออยู่ไม่มากในวัตถุฟางชุ่นให้แก่ต่งสุ่ยจิ่ง ส่วนตัวเองปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ต่างคนต่างดื่มเหล้า เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงปีนั้นเจ้าไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาด้วยกัน ข้ารู้สึกเสียดายมาก ด้วยมักจะคิดว่าพวกเราสองคนเหมือนกันมากที่สุด ต่างก็มีชาติกำเนิดยากจน ปีนั้นข้าไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ดังนั้นพอเจ้าเลือกอยู่ต่อในเมืองเล็ก ข้าก็รู้สึกโกรธนิดๆ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างมาก อีกทั้งเมื่อย้อนกลับมามองดู ข้าก็ค้นพบว่าอันที่จริงเจ้าทำได้ดีมากแล้ว ดังนั้นข้าถึงได้มีโอกาสมาพูดความในใจพวกนี้กับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเก็บกลั้นไว้ในใจไปตลอด”

ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ข้ารู้ความสามารถของตัวเองดี เรียนหนังสือพอถูไถ ไม่ถือว่าแย่เกินไป แต่ย่อมสู้หลินโส่วอีไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำเรื่องที่ตัวเองถนัด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนต่างก็ชอบพี่สาวหลี่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ”

ต่งสุ่ยจิ่งหน้าแดงน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้าไปหลายอึก หรือเพราะเหตุใด

ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “มีข้อหนึ่งที่ข้าแน่ใจว่าตอนนี้เก่งกว่าหลินโส่วอี หากในอนาคตวันใดหลี่หลิ่วแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นทั้งข้าและหลินโส่วอีอยู่ในสายตา ถึงเวลานั้นหลินโส่วอีต้องโมโหแทบตายอย่างแน่นอน แต่ข้ากลับไม่ ขอแค่หลี่หลิ่วมีชีวิตที่ดี ข้าก็ยัง…มีความสุข แน่นอนว่าไม่ได้มีความสุขมากนัก คำพูดหลอกคนอื่นประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องอาย พูดจาเหลวไหลก็เท่ากับเป็นการย่ำยีสุราดีๆ ในมือไหนี้ แต่ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำใจได้ดีกว่าหลินโส่วอี”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ต่งสุ่ยจิ่งยกกาเหล้าในมือขึ้น “แพงมากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ถูกเลยจริงๆ”

ต่งสุ่ยจิ่งจิบคำเล็กๆ อีกคำ “ถ้าอย่างนั้นยิ่งดื่มก็ยิ่งอร่อย”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “เหมือนข้า!”

คนบ้านเดียวกันสองคนที่มีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกันเดินเท้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือพลางพูดคุยกันไปเช่นนี้ตลอดทาง

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!