เฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนจดหมายส่งไปให้กวนอี้หรานที่นครน้ำบ่อ บอกคร่าวๆ ว่าตนมีสหายอยู่คนหนึ่ง เป็นคนบ้านเดียวกัน ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่ง เป็นคนทำการค้า มีคุณธรรม แต่ไม่ขาดไหวพริบ ทว่าในจดหมายเขาก็จะบอกกับกวนอี้หรานอย่างตรงไปตรงมาว่า หากลำบากใจ หรือตอนนี้ยังไม่เหมาะจะออกหน้า ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรหาเงิน ก็อย่าได้ฝืนทำให้ตัวเองลำบากใจเด็ดขาด อีกทั้งก่อนจะออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับจากกวนอี้หราน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจะยังไปหาต่งสุ่ยจิ่งอีกครั้ง อธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้ง คำพูดบางอย่างอาจไม่น่าฟัง แต่หากสมควรพูดก็ต้องพูด
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “สำหรับในเรื่องนี้ ข้าเคยเจอความลำบากกับตัวมาก่อนแล้ว”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ เกี่ยวกับเรื่องของหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าและซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเคยเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ มาก่อน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดอย่างปิติยินดีจากใจจริง “มีภูเขามากมายขนาดนี้ก็สามารถทำเรื่องอะไรได้อีกมากมายแล้ว”
เว่ยป้อพูดหยอกล้อ “ยกตัวอย่างเช่นจะให้ใครเป็นราชันใหญ่แห่งภูเขาฮุยเหมิง ส่วนภูเขาจูซาใครจะยึดไว้เป็นที่ฝึกตน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แค่คิดก็มีความสุขแล้ว”
เว่ยป้อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
ภูเขาแต่ละลูกล้วนเป็นสมบัติในนามของเฉินผิงอันแล้ว ควรจะจัดการอย่างไรก็ล้วนเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันต้องคิดเอาเอง
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ช่วงนี้อาณาเขตแถบเหนือของข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลององค์เทพท่องราตรีเป็นครั้งแรกหลังจากที่ข้าขึ้นครองตำแหน่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสี่ด้านแปดทิศจะต้องพากันออกจากเขตปกครองของตัวเอง มาเยือนภูเขาพีอวิ๋นแห่งนี้ หากเจ้าสนใจ ถึงเวลานั้นข้าสามารถพาเจ้ามาที่ภูเขาพีอวิ๋นได้”
เฉินผิงอันเคยอ่านตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นอย่างละเอียดมาก่อน จึงรู้ความเป็นมาของเรื่องนี้
องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของภูเขาทั้งหลายในแต่ละแคว้นมีฐานะสูงศักดิ์ อีกทั้งเทพวารีระบบสืบทอดที่ตำแหน่งเทพและระดับขั้นในทำเนียบวงศ์ตระกูลล้วนอยู่ในระดับสูงสุดก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเหนือกว่าองค์เทพใหญ่ของห้าขุนเขาได้ ตามระเบียบพิธีการของใต้หล้าไพศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในอาณาเขตล้วนจะต้องมาพบองค์เทพแห่งขุนเขาตามเวลาที่กำหนด นับตั้งแต่เทพระดับขั้นต่ำสุดอย่างเทพเจ้าที่ พ่อปู่แม่ย่าลำคลอง ฯลฯ ไปจนถึงหยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูของเขตการปกครองหลงเฉวียน ขยับไปเบื้องล่างก็คือแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำชงตั้น แม่น้ำอวี้เย่ องค์เทพวารีทั้งหลายเหล่านี้ รวมไปถึงเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเฟิงเหลียง บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลบุ๋นบู๋ของท้องถิ่นและศาลเทพอภิบาลเมืองของสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องพากันออกจากอาณาเขตของตัวเองในวันใดวันหนึ่ง พกพานำของขวัญมาเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อทวยเทพแห่งขุนเขาอย่างเว่ยป้อ
ถึงเวลานั้นเขตการปกครองและตัวอำเภอก็น่าจะต้องมีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามค่ำคืน
นี่คือกฎหนึ่งที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน ทุกๆ เวลาสามสิบปีหรือหกสิบปี หรือยาวกว่านั้นคือหนึ่งร้อยปี ในฐานะศาลองค์เทพแห่งขุนเขาที่เป็นผู้นำของพื้นที่หนึ่งจะต้องมีการจัดงานเลี้ยงท่องราตรีขึ้นมาหนึ่งครั้ง
อันที่จริงยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่จะมีการจัดงานเช่นนี้เกิดขึ้น นั่นก็คือผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายพันลี้ ไม่แบ่งแยกแว่นแคว้น ล้วนจะต้องพากันไปร่วมพิธีแสดงความเคารพเซียนผู้นั้น
องค์เทพท่องราตรีมีจำนวนมากมายหลายร้อยท่าน ต่างคนต่างร่ายเวทอภินิหาร นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาขนานนามว่าเป็น ‘ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มุ่งเข้าหาเซียน’
เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีของเว่ยป้ออย่างละมุนละม่อม “วันนั้นข้ามองมาจากบนภูเขาลั่วพั่วก็พอแล้ว”
เว่ยป้อเองก็ไม่ยืนกราน
เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วทันที วันนี้จึงให้จูเหลี่ยน ‘เสวยสุขเพียงลำพัง’ ไปก่อนแล้วกัน
เขาเองก็อยากจะแอบอู้สักหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้จัดการกับความคิดซับซ้อนวุ่นวายทั้งหลายไปด้วย
เว่ยป้อเองก็ยืนชมทิวทัศน์อยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหันหน้าไปชำเลืองตามองทางทิศเหนือแวบหนึ่ง เดินทางมุ่งขึ้นเหนือไปตลอด หลังจากข้ามมหาสมุทรไปก็จะเป็นอุตรกุรุทวีปแล้ว
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ตอนนั้นรีบร้อนเดินทาง ไม่ได้ไปเยือนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุด หรือไม่ก็ฝูเหยาทวีปหรอกหรือ? รู้สึกเสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ไม่ทันมีเวลาได้สนใจจริงๆ ก็ไม่ถึงกับเสียดายอะไรหรอก”
เว่ยป้อถือโอกาสขยับเท้าเดินไปนั่งบนราวระเบียง “ได้ยินว่าอริยะของสำนักศึกษาที่ไม่ควรเป็นที่สุดของสองทวีปก็คือ อุตรกุรุทวีปและฝูเหยาทวีป ฝั่งหนึ่งต้องยุ่งอยู่กับการห้ามทัพ อีกฝั่งหนึ่งยุ่งอยู่กับการเช็ดก้นให้คนอื่น ต่างก็ไม่มีวันเวลาที่สงบสุข ไม่เคยได้สงบใจศึกษาหาความรู้เลย”
เว่ยป้อหันหน้ามา “ใช่แล้ว เจ้าไปเยือนที่ใบถงทวีปมาแล้ว รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? นอกจากใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปมากแล้ว ยังมีความรู้สึกอย่างไรอีก?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะอาณาเขตใหญ่เกินไป สถานที่หลายๆ แห่งจึงถูกปิดตาย อีกทั้งปราณวิญญาณของแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกันมาก ง่ายที่จะเกิดภูเขาลูกใหญ่หรือไม่ก็ถ้ำสถิตตระกูลเซียนขนาดใหญ่มโหฬาร อย่างสำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี แต่ละแห่งล้วนถือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ ในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเกรงว่าคงมีแค่สำนักโองการเทพเท่านั้นที่พอจะถ่วงดุลกับภูเขาใหญ่พวกนี้ได้ แต่ใบถงทวีปก็มีแคว้นเล็กๆ ที่ชั่วชีวิตของคนในแคว้นไม่เคยรู้เลยว่าการฝึกตนคืออะไรอยู่เยอะเหมือนกัน ปราณวิญญาณบางเบา คือสถานที่ไร้อาคมสมชื่ออย่างแท้จริง”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เป็นข้อยกเว้นแล้ว แปดทวีปที่เหลือ โชคชะตาของแต่ละทวีป แท้จริงแล้วล้วนเท่าเทียมกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ และไม่นานเขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก
เว่ยป้อที่รู้ใจช่วยอธิบายให้ฟังว่า “อย่าเห็นว่าแจกันสมบัติทวีปเล็ก อีกทั้งยังไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ปรากฏตัวมากนัก แต่นี่ก็คือการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นอย่างแท้จริง หากสืบสาวราวเรื่องกันไปยังต้นกำเนิด คิดคำนวณจาก ‘บันทึกที่ดินและสำมะโนครัว’ อย่างที่ในราชวงศ์มนุษย์เรียกกัน อันที่จริงก็ถือว่าไม่แย่แล้ว ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีเซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ เฉาซีแห่งตรอกหนีผิงของพวกเจ้า เด็กรุ่นหลังมาหน่อยก็มีหลิวเสี้ยนหยาง จ้าวเหยาที่ต่างก็ออกไปอยู่ข้างนอกกัน ถูกไหม? แล้วก็เพราะว่ารั้งตัวคนไว้ไม่อยู่ ถึงทำให้แจกันสมบัติทวีปดูอนาถายากจนกว่าทวีปอื่นๆ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ใบถงทวีปเกิดกลียุควุ่นวาย ข้าคาดว่าฝูเหยาทวีปก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ อีกทั้งเผ่าปีศาจยังตั้งรกรากสร้างกิจการอยู่ในใบถงทวีปมานานนับพันปี แม้จะบอกว่าทำให้พลังต้นกำเนิดของใบถงทวีปเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาไท่ผิงกับสำนักฝูจีที่บาดเจ็บล้มตายกันอย่างน่าสังเวชที่สุด แต่จะดีจะชั่วพวกปีศาจก็ถูกพลิกแผ่นดินควานหาตัวออกมาแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ภูเขาห้อยหัวก็รู้แล้วว่าที่ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปต่างก็มีสมบัติล้ำโลกปรากฎตัว ได้ยินมาว่าฝูเหยาทวีปที่เดิมทีล่างภูเขาก็วุ่นวายมากที่สุดในเก้าทวีปใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้บนภูเขาก็ยังวุ่นวายตามไปด้วย ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอริยะและวิญญูชนในสำนักศึกษาของที่นั่นจะยุ่งจนหัวหูไหม้กันแค่ไหน”
ฝูเหยาทวีปก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันรู้มาจากตำราเทพเซียน ใช้คำเดียวมาบรรยายได้จริงๆ นั่นคือคำว่าวุ่นวาย หากมองตลอดทั้งฝูเหยาทวีปเป็นดั่งราชวงศ์แห่งหนึ่ง เมื่อผ่านการควบรวมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าร้อยกว่าปี จึงกลายมาเป็น ‘กองกำลังที่แยกตัวเป็นอิสระ’ ซึ่งมีราชวงศ์ใหญ่หลายสิบราชวงศ์เป็นผู้นำ
รบกันไปรบกันมา วีรบุรุษผู้กล้า ลมพัดเมฆเคลื่อนคล้อย กลียุคเกิดขุนนางกังฉิน กลียุคเกิดเสาค้ำยันแคว้น มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน อีกทั้งผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีปยังชอบลงภูเขาไป ‘ประคับประคองมังกร’ (คำว่าประคับประคองก็คือคำว่าฝู คำเดียวกับชื่อของทวีป ประคับประคองมังกรเปรียบเปรยถึงการให้ความช่วยเหลือ การให้การสนับสนุนกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ถูกเปรียบเปรยให้เป็นมังกร เป็นโอรสสวรรค์) มากที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นจึงถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเรียกเหน็บแนมว่าเป็นทวีปถังน้ำ เพราะว่า ‘แกว่งส่าย’ (ภาษาจีนคือคำว่าเหยาที่มีอยู่ในชื่อทวีปฝูเหยา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฝูเหยาที่เป็นชื่อทวีปนี้แปลได้ว่าการพุ่งทะยาน พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน แต่เมื่อแยกคำออกมา ฝูจะแปลว่าประคับประคอง เหยาจะแปลว่าการแกว่งส่าย) ได้ดีที่สุด
ส่วนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุดนั้น
สายบุ๋นรุ่งโรจน์ โชคชะตาบู๊โชติช่วง
คือ ‘แคว้นใต้อาณัติ’ ทวีปอื่นในจำนวนน้อยนิดที่ผู้ฝึกตนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเห็นอยู่ในสายตา
อีกทั้งทักษินาตยทวีปยังมีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่บนไหล่แบกดวงตะวันจันทรา
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ แนวโน้มทิศทางของใต้หล้าเหล่านี้ เพียงแค่พูดคุยกันแล้วก็ปล่อยผ่านไปเท่านั้น
เฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องใหญ่ที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหล่านี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว่ยป้อจะเป็นกังวลก็เพราะตัวเองคือว่าที่องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีป ต่อให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องไกลตัว ก็ต้องพะวงกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ากลับก่อนล่ะ แต่ว่าไม่ได้กลับภูเขาลั่วพั่ว จะกลับไปที่ดูเผยเฉียนที่เมืองเล็กสักหน่อย ส่งข้าไว้ที่ภูเขาเจินจูก็พอ”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ก็ส่งเฉินผิงอันไปที่ภูเขาเจินจู
บังคับลมควบคุมตะวันจันทรา ย่อพื้นที่เดินผ่านเทือกเขา สายน้ำก็คือเส้นลายมือ หายใจสะเทือนฟ้าสร้างอสนี
นี่ก็คือทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว
เว่ยป้อนั่งอยู่บนราวรั้วของศาลาเพียงลำพัง สัตว์ปีกสัตว์บก ทะเลเมฆลมภูเขา สิ่งมีชีวิตสิ่งไร้ชีวิต ราวกับว่าทุกอย่างล้วนว่าง่ายคล้อยตามเขาไปเสียหมด
แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา
เพราะนึกถึงเรื่องเล็กๆ เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้
เจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยผู้นั้นได้มาหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว หลังจากทักทายกันแล้ว ก็ยิ้มถามด้วยประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดพี่หญิงซิ่วซิ่วถึงไม่ได้มาที่ภูเขาพีอวิ๋น?”
พี่หญิงซิ่วซิ่ว
เป็นคำเรียกที่ค่อนข้างจะแฝงความนัยอย่างยิ่ง
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ข้าสนิทกับแม่นางหร่วน แต่ไม่สนิทกับเจ้า”
เกือบจะทำให้เจ้าหนุ่มที่มีโชควาสนาลึกล้ำอย่างเซี่ยหลิงผู้นั้นอัดอั้นจนบาดเจ็บภายใน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!