แม้ว่าพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่เจียงซ่างเจินเดินอยู่ในเวลานี้จะไม่มีชื่อเรียกว่าถ้ำสวรรค์ แต่กลับเหนือกว่าถ้ำสวรรค์
สถานที่แห่งนี้มีหอหยกเรือนแก้ว มีบุปผาพืชพรรณแปลกตานานาชนิด เสียงนกร้องคลอเคล้าเสนาะหู ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเหมือนไอน้ำ ทุกครั้งที่ก้าวเดินล้วนทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบาย เจียงซ่างเจินจุ๊ปากชื่นชม เขาคิดว่าตัวเองเคยเห็นโลกกว้างมาไม่น้อยแล้ว ในมือยังได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ในอดีตเคยไปใช้เวลาหกสิบปีอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เพียงแค่เพื่อช่วยคลายปมในใจให้สหายรักอย่างลู่ฝ่าง แล้วก็ถือโอกาสนี้ผ่อนคลายอารมณ์ไปด้วยก็เท่านั้น ผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างเจียงซ่างเจินนี้ อันที่จริงมีไม่มาก เมื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงบนเส้นทางของการฝึกตนย่อมมีด่านมากมายกั้นขวาง แน่นอนว่าโชควาสนานั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่คำว่าสั่งสมมากใช้ทีละน้อยก็คือสัจธรรมพันปีที่ผู้ฝึกตนไม่ยอมรับไม่ได้
ปีนั้นเจียงซ่างเจินเดินทางมาท่องเที่ยวที่นครปี้ฮว่า ได้ทิ้งประโยคห้าวเหิมนั้นเอาไว้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงบนภาพฝาหนัง อันที่จริงเจียงซ่างเจินก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ หลังจากกลับคืนไปยังสำนักกุยหยกที่ใบถงทวีปแล้วก็ได้ขอความรู้เรื่องความลี้ลับของสำนักพีหมาและนครปี้ฮว่ามาจากเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินยวน นี่ถือว่าเขาถามถูกคนแล้ว ความคุ้นเคยที่สวินยวนผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินมีต่อเทพธิดาเทพหญิงมากมายใต้หล้านี้ หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินก็คือถึงขั้นที่ทำให้คนโมโหจนผมชี้ตั้ง ปีนั้นสวินยวนยังตั้งใจไปเยือนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพื่อชื่นชมรูปโฉมความงามของฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินโดยเฉพาะ ผลกลับกลายเป็นว่าเดินดูรอบภูเขาชิงเสินเพลินจนลืมกลับบ้าน อาลัยอาวรณ์ตัดใจไม่ลง ถึงท้ายที่สุดไม่เพียงแต่ไม่ได้พบหน้าชิงเสินฮูหยิน ยังเกือบจะพลาดงานใหญ่อย่างการสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขไป แล้วก็เป็นเพราะอดีตเจ้าสำนักส่งกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีปมาให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของแผ่นดินกลางที่สนิทสนมกัน จึงบังคับพาสวินยวนออกจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาได้ ว่ากันว่าหลังจากที่สวินยวนกลับคืนสู่สำนักแล้ว เจ้าประมุขผู้เฒ่าที่ทั้งกายและใจเป็นดั่งไม้ผุใกล้จะลาจากโลกนี้ไปในท่านั่งกลับยังคงฝืนดึงพลังเฮือกหนึ่งขึ้นมาด่าสวินยวนผู้เป็นลูกศิษย์ซะจนไม่เหลือชิ้นดี แถมยังโมโหจนขว้างวัตถุประจำกายของเจ้าสำนักศาลบรรพจารย์ทิ้งลงพื้น แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่เล่ากันมาปากต่อปาก เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นนอกจากอดีตเจ้าสำนักและสวินยวนแล้วก็มีแค่บรรพจารย์สำนักกุยหยกที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกนานแล้วไม่กี่ท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักกุยหยกล้วนนำเรื่องนี้มาเล่าให้พวกลูกศิษย์ของตัวเองฟังดั่งเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง
แต่เจียงซ่างเจินกลับรู้สึกว่าด้วยนิสัยที่เข้าคู่กันได้ดีของอาจารย์และศิษย์คู่นี้ ข่าวลือก็น่าจะเป็นความจริง ไม่แน่ว่าการที่อดีตเจ้าสำนักโกรธมากขนาดนี้ สาเหตุหนึ่งในนั้นอาจเป็นเพราะสวินยวนยังไม่เคยได้พบหน้าฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินกับตาตัวเองมาก่อนก็เป็นได้
เจียงซ่างเจินวางมือทั้งสองข้างที่ทำเป็นแสร้งป้องปากลงแล้วเอาไพล่ไว้ด้านหลัง พอนึกถึงความลับบางอย่างที่แพร่เป็นวงเล็กๆ อยู่บนยอดเขาก็ให้สะทกสะท้อนใจไม่หยุด
เมื่อได้เห็นทัศนียภาพอันงามเลิศล้ำของสถานที่แห่งนี้อีกครั้งก็ให้รู้สึกสงสารพี่สาวเทพธิดาทั้งหลายขึ้นมาเสียแล้ว
เจ้าสำนักสวินยวนเคยบอกว่าสำนักพีหมาเลือกชายหาดโครงกระดูกเป็นสถานที่ตั้งภูเขานั้น โชควาสนาจากเทพธิดาภาพวาดฝาผนังทั้งแปดภาพก็คือสาเหตุที่สำคัญในสำคัญ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะตัดสินใจตั้งสำนักขึ้นที่ทางทิศใต้สุดของทวีปไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ คำกล่าวที่บอกว่าแตกหักกับเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีปก็ล้วนเป็นการกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์ นี่ก็เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นว่าตัวเอง ‘ถูกบีบ’ ให้เลือกทางใต้สุด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสวินยวนเคยเปิดอ่านเอกสารคดีลับของตระกูลเซียนบนยอดเขาในแผ่นดินกลางซึ่งสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นมาแล้วไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกของตระกูลเก่าแก่สายของผู้ดำเนินพิธีการลัทธิขงจื๊อ สวินยวนจึงอนุมานออกมาว่าเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดทั้งนั้นมีหน้าที่คล้ายฝ่ายตรวจการ ผู้ดูแลของหกกรมในวงการขุนนางราชวงศ์มนุษย์ในปัจจุบันที่ออกลาดตระเวนไปทั่วแปดทิศของฟ้าดิน รับผิดชอบหน้าที่ตรวจสอบดูแลพวกเทพกรมสายฟ้า เทพพิรุณ เทพวาโยโดยเฉพาะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เทพบางองค์ใช้อำนาจอย่างกำเริบเสิบสาน ด้วยเหตุนี้เทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดท่านในภาพวาดฝาผนังที่ไม่รู้ว่าถูกผู้ฝึกตนใหญ่แห่งยุคบรรพกาลท่านใดผนึกเอาไว้จึงเคยมีหน้าที่ที่ได้กุมอำนาจสำคัญของสรวงสวรรค์ยุคดึกดำบรรพ์ ไม่อาจดูแคลนได้เลย
สรวงสวรรค์ปริแตก วิถีแห่งเทพพังทลาย อริยะผู้มีคุณูปการของยุคบรรพกาลแบ่งรูปแบบใหญ่ให้ฟ้าดินมีความแตกต่าง พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณที่โชคดีไม่ได้ดับสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงซึ่งมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตยิ่งใหญ่เหล่านั้นถูกเนรเทศ หรือไม่ก็กักขังอยู่บน ‘ยอดเขา’ หลายแห่งที่ไม่มีใครรู้แทบทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาทำความดีชดเชยความผิด ช่วยปรับลมเปลี่ยนฝน ผสานความสัมพันธ์ของไฟและน้ำในโลกมนุษย์ให้เกิดความสมดุล
ว่ากันว่าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งของภูเขาเจินอู่ซึ่งเป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีป และยังมีสถานที่สำคัญอย่างศาลบรรพจารย์ของศาลลมหิมะก็ล้วนสามารถสื่อสารกับองค์เทพยุคบรรพกาลบางท่านได้โดยตรง ถึงขั้นที่ว่าศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ยังไม่ห้ามปรามในเรื่องนี้ หันกลับมามองสำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำของตระกูลเซียนในแจกันสมบัติทวีป สกุลเจียงอวิ๋นหลินที่ในรุ่นบรรพบุรุษเคยมี ‘ต้าจู้’ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) หลายท่านปรากฏตัวกลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
เจียงซ่างเจินสะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณของที่นี่เปี่ยมล้นจนน่าตกใจ เป็นเหตุให้เวลานี้เขาเหมือนเดินอยู่บนทางสายเล็กในป่าเขาหลังฝนตก น้ำค้างจึงเปียกชื้นเสื้อผ้า เจียงซ่างเจินคิดในใจว่าเกรงว่าผู้ที่ขอบเขตต่ำกว่าบินทะยานลงมา ซึ่งรวมถึงตนด้วยนั้น ขอแค่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ล้วนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ส่วนผู้ฝึกตนบินทะยานนั้น ปราณวิญญาณในสถานที่ฝึกตนจะเข้มหรือจางกลับไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกต่อไปแล้ว
เจียงซ่างเจินชูแขนขึ้นดมชายแขนเสื้อ “ช่างชื่นใจเสียจริง น่าจะเป็นกลิ่นหอมของเหล่าพี่สาวเทพเซียน”
เจียงซ่างเจินยิ้มพลางเงยหน้า ห่างออกไปไกลมีจวนแห่งหนึ่งที่ตัวอักษรสีทองบนกรอบป้ายพร่าเลือนไม่ชัดเจน ปราณวิญญาณของที่นั่นเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ไอหมอกเซียนล้อมวนอยู่รอบเอวของเทพหญิงท่านหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ไอหมอกขยับขึ้นๆ ลงๆ ทำให้มองเห็นจานฝนหมึก ‘ฟ้าแลบ’ ที่แขวนไว้ตรงเอวของเทพหญิงผู้นั้นได้อย่างเลือนราง
และยังมีเทพหญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคา ปลายนิ้วบิดหมุนเบาๆ เมฆมงคลจิ๋วน่ารักก้อนหนึ่งก็เหมือนนกขมิ้นสีขาวหิมะที่บินวนอยู่บนปลายนิ้วของนาง นางหลุบตาลงต่ำมองเจียงซ่างเจิน สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เทพหญิงกว้าเยี่ยน (แขวนจานฝนหมึก) หัวเราะเสียงเย็น “ช่างใจกล้ายิ่งนัก อาศัยตบะขอบเขตหยกดิบก็กล้าปล่อยจิตหยินมาท่องเที่ยวไกลถึงที่นี่”
เทพหญิงสิงอวี่ (โปรยพิรุณ) ที่นั่งอยู่บนหลังคายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ฝ่าค่ายกลภูเขาแม่น้ำสำนักพีหมาและตราผนึกตำหนักเซียนของพวกเรามาได้อย่างเงียบเชียบ”
เจียงซ่างเจินประสานมือคารวะ “พี่หญิงกว้าเยี่ยน พี่หญิงสิงอวี่ ผ่านมานานหลายปี เจียงซ่างเจินได้มาพบพวกท่านอีกแล้ว ช่างเป็นบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมา เป็นความโชคดีสามชาติภพจริงๆ”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวนอยู่ในชายแขนเสื้อทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าแม้คนผู้นี้จะขยับปากพูดจาลื่นไหลกลับกลอก ทว่าจิตใจที่แท้จริงกลับนิ่งสนิทราวกับผิวน้ำ แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้นางไม่สบอารมณ์ได้อยู่ดี
เทพหญิงสิงอวี่เอ่ยถาม “ด้านนอกนครปี้ฮว่า พวกเราเคยทำสัญญากับสำนักพีหมาเอาไว้ จึงไม่อาจมองได้มาก ร่างจริงของเจ้าไปหาพี่สาวของพวกเราแล้วหรือ?”
ระหว่างที่สองฝ่ายพูดคุยกัน ห่างไปไกลก็มีกวางเจ็ดสีตัวหนึ่งกำลังกระโดดอย่างแผ่วพลิ้วมาบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ สายตาจ้องนิ่งไปบนร่างของกวางเจ็ดสีตัวนั้นแล้วถามอย่างใคร่รู้ว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าเทพธิดาเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแจกันสมบัติทวีปมีโชควาสนาดีเยี่ยมเป็นหนึ่งในทวีป ตอนนี้ก็ยิ่งได้มาก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในอุตรกุรุทวีปเรา ข้างกายนางก็มีกวางเทพตัวหนึ่งติดตามอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่ากวางสองตัวนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่?”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนเริ่มหงุดหงิดใจ “คนหยาบช้าอย่างเจ้า รีบถอยออกไปจากตำหนักเซียนซะ”
เจียงซ่างเจินพูดจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากพี่สาวทั้งสองรำคาญ จะด่าจะตีก็เชิญตามสบาย ข้าจะไม่ตอบโต้เด็ดขาด แต่หากผู้ฝึกตนของสำนักพีหมามาขับไล่คนที่นี่ เจียงซ่างเจินไม่มีความสามารถยิ่งใหญ่ใดๆ แค่พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้างเท่านั้น ข้าจะไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด”
ร่างของเทพหญิงกว้าเยี่ยนพลันมีแสงสายฟ้าระเบิดออกมา ชายกระโปรงปลิวสะบัดประหนึ่งสวมใส่กระโปรงเซียนสีม่วงตัวหนึ่ง มองออกว่าไม่จำเป็นต้องให้บรรพบุรุษของสำนักพีหมาจุดธูปเคาะประตูเข้ามาที่นี่ตามข้อตกลงที่มีร่วมกันคือไม่อนุญาตให้คนบนโลกมารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของพวกนาง นางก็คิดจะลงมือด้วยตัวเองแล้ว
เพียงแต่ว่าเทพหญิงสิงอวี่ที่เรือนกายสูงเพรียว มวยผมทรงเมฆาคล้อยกลับลุกขึ้นยืนช้าๆ พลิ้วกายมาอยู่ข้างกายของเทพหญิงกว้าเยี่ยน เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “รอให้พี่สาวกลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนไม่ได้มีนิสัยอ่อนโยนเฉกเช่นเทพหญิงสิงอวี่ นางจึงไม่ค่อยเต็มใจนัก ยังอยากจะลงมือสั่งสอนเจ้าอันธพาลปากพล่อยผู้นี้สักหน่อย ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้วอย่างไร ปล่อยจิตหยินมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังอยู่ในตำหนักเซียน อย่างมากก็มีตบะแค่ก่อกำเนิดเท่านั้น อย่าว่าแต่พวกนางอยู่กันครบทั้งสองคนเลย ต่อให้มีเพียงนาง คิดจะขับไล่เขาออกไปจากอาณาเขตก็ยังทำได้ถึงเก้าในสิบส่วน ทว่าเทพหญิงสิงอวี่กลับกระตุกชายแขนเสื้อของเทพหญิงกว้าเยี่ยนเบาๆ ฝ่ายหลังถึงได้ข่มอารมณ์เอาไว้ สายฟ้าสีม่วงทั่วร่างค่อยๆ ไหลหายเข้าไปในจานฝนหมึกลักษณะโบราณที่ห้อยอยู่ตรงเอว
นอกผนังภาพมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ทว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตำหนักเซียนแห่งนี้กลับดังเหมือนเทพตีกลองอยู่ที่ขอบฟ้า ดังกระเทือนไปทั้งฟ้าดิน
เทพหญิงสิงอวี่เงยหน้ามองไปแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “กั๋วฉือเซียนซือ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เจียงซ่างเจินเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าท่ามกลางทะเลเมฆมีรองเท้าปักลายบุปผาคู่มหึมาเหยียบแหวกทะลุทะเลเมฆมา รอจนเซียนซือท่านนี้ลดกายลงสู่พื้นดินก็กลับคืนสู่ความสูงตามปกติแล้ว
คือสตรีโตเต็มวัยรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง ตัวไม่สูงมาก แต่พลังอำนาจกลับเฉียมคม ตรงเอวห้อยดาบอาคมหนึ่งเล่ม ด้ามดาบสลักเป็นรูปมังกรคาบไข่มุก
ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินก็ยังอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้ สตรีผู้นี้หน้าตาไม่น่ามอง นิสัยก็ยิ่งอัปลักษณ์ ปีนั้นเขาเคยเจอกับความยากลำบากด้วยเงื้อมมือของนางมาก่อน ตอนนั้นคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินขอบเขตโอสถทองเหมือนกัน ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้แค่ได้ฟัง ‘ข่าวลือ’ น้อยนิดเกี่ยวกับตนก็เชื่อหมดใจ ข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาไล่ฆ่าตนนานเป็นเวลาเกือบครึ่งปีเต็มๆ ระหว่างนี้ได้ประมือกันสามครั้ง เจียงซ่างเจินไม่อาจเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตายได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง บวกกับที่สถานะของนางพิเศษ เป็นบุตรีโทนของเจ้าสำนักพีหมาในเวลานั้น เจียงซ่างเจินไม่ต้องการให้ตนเองถูกพวกสมองไม่สมประดีมาขวางทางกลับบ้านเกิด ดังนั้นจึงยอมเผชิญความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในอุตรกุรุทวีปอย่างที่หาได้ยาก
ตอนนี้กั๋วฉือเซียนซือผู้นี้คือเจ้าสำนักของสำนักพีหมาแล้ว นางเลื่อนขั้นไปถึงขอบเขตหยกดิบได้อย่างกระท่อนกระแท่น อนาคตบนมหามรรคาไม่ถือว่าดีนัก เพียงแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาสำนักพีหมาก็เลือกคนมาเป็นเจ้าสำนักโดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของตบะ ส่วนใหญ่แล้วใครที่นิสัยแข็งกระด้างมากที่สุด กล้าได้กล้าเสียมากที่สุด คนผู้นั้นก็จะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ดังนั้นการที่เจียงซ่างเจินติดตามเฉินผิงอันมายังชายหาดโครงกระดูกครานี้แล้วไม่เต็มใจจะรั้งรออยู่นาน สาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะกั๋วฉือเซียนซือที่ในอดีตเขาเคยตั้งฉายาให้ว่า ‘แม่เสือขาสั้น’ ผู้นี้นั่นเอง
แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมทีผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้ควรจะเปิดศึกเข่นฆ่าอยู่ในหุบเขาผีร้ายถึงจะถูก หากขอบเขตหยกดิบของศาลบรรพจารย์ท่านนั้นมาที่นี่ เจียงซ่างเจินจะไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย หากพูดกันในเรื่องความสามารถด้านการต่อสู้ตัวต่อตัว นำไปวางไว้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล เจียงซ่างเจินก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเลิศล้ำเท่าใด ต่อให้ตอนอยู่ในใบถงทวีปทวีปที่มีขนาดใหญ่ไม่เป็นรองจากอุตรกุรุทวีปจะสามารถสร้างชื่อ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’ ได้ก็ตาม คำกล่าวที่บอกว่า ‘ยอมผูกปมแค้นกับสำนักกุยหยก ดีกว่าถูกเจียงซ่างเจินหมายหัว’ นั้น อันที่จริงเจียงซ่างเจินไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่หากจะพูดถึงความสามารถในการเผ่นหนีแล้วล่ะก็ เจียงซ่างเจินไม่ได้หลงตัวเองจริงๆ เขารู้สึกจากใจจริงว่าตัวเองพอจะมีพรสวรรค์และความสามารถอยู่บ้าง ปีนั้นตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของบ้านตัวเองได้ถูกบรรพจารย์บางท่านร่วมมือกับพวกมดตัวน้อยของถ้ำสวรรค์ที่คิดก่อกบฏวางแผนสถานการณ์ตายไว้เล่นงานเขา แต่เจียงซ่างเจินก็ยังหนีมาได้ หลังจากที่เขาหนีออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้แล้ว เพียงไม่นานฝ่ายในของสำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็ต้องเจอกับการชำระล้างด้วยเลือดถึงสองครั้งติด ตาเฒ่าสวินยวนนั่งเฉยมองดูดาย ส่วนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่อยู่ในกำมือของสกุลเจียงนั้นก็ยิ่งมีสภาพอเนจอนาถจนไม่อาจทนมองดูได้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนในพื้นที่มงคลที่เป็นเซียนดินแล้วและคนที่มีหวังว่าจะได้เป็นเทพเซียนพสุธาล้วนถูกเจียงซ่างเจินที่พาพวกมาเปิด ‘ประตูสวรรค์’ บุกสังหารไปทั่วพื้นที่มงคล ยอมให้สกุลเจียงเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ต้องกำจัดคนเหล่านั้นให้สิ้นซากอย่างเด็ดขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!