เลียบคูน้ำจ่าวซีขนาดใหญ่ที่เป็นสีเขียวมรกตนั้นไป พืชน้ำขึ้นหนาแน่นกระเพื่อมไปตามริ้วน้ำ เหมือนผีพรายที่กำลังกวักมือเรียก
นิทานพื้นบ้านและผลงานการประพันธ์ส่วนตัวในหมู่ชาวบ้านส่วนใหญ่ และยังมีคำกล่าวที่บอกว่าผีพรายต้องการหาตัวตายตัวแทน โดยรวมแล้วล้วนมาในแนวของการแก้แค้นทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าหากมีโลกมืดและโลกสว่างขวางกั้น คนเป็นคนตายมีความแตกต่าง ผีที่จมน้ำตายทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญคาถานับพันนับหมื่น ไหนเลยจะมีวิธีหลุดพ้นที่ง่ายดายเพียงนี้ ผีในโลกมืดทำร้ายคนในโลกสว่างเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งนั้นกลับเป็นคำลวง นี่ก็เป็นแค่การเล่าลือกันไปปากต่อปากของพวกบัณฑิตก็เท่านั้น
ออกมาจากจวนเทพวารี เฉินผิงอันกระชากฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติผู้นั้นทะยานไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ที่ตอนนี้บนร่างยังคงสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างยังทะยานลมติดตามเขามาดังเดิม ตู้อวี๋แข็งใจมุ่งหน้าไปยังทิศทางของทะเลสาบชางอวิ๋นเหมือนกัน คงเป็นเพราะอยู่กับผู้อาวุโสตรงหน้านี้นานวันเข้าจึงได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่ายมาไม่น้อย ตู้อวี๋ถึงได้ถามประโยคหนึ่งว่าจำเป็นต้องถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ค่อนข้างสะดุดตานี้ออกหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อาวุโสต้องสูญเสียโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบ
เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้อง
ตู้อวี๋จึงพอจะสงบใจลงได้
เพียงแต่ว่าประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจของตู้อวี๋แล่นมาจุกอยู่ในลำคอ ได้ยินเพียงว่าผู้อาวุโสเอ่ยเนิบช้า “ไปถึงริมทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องเปิดศึกใหญ่ ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ถือเสียว่าเสี่ยงชีวิตเดิมพันอีกครั้ง แค่ยืนหูหนวกตาบอดอยู่ฝั่งหนึ่งก็พอ ถึงอย่างไรสำหรับเจ้าแล้ว ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพอได้ทุนเก่ากลับคืนมาบ้าง”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “วางใจเถิด บางทีอาจจะช่วยอะไรผู้อาวุโสไม่ได้ แต่ตู้อวี๋รับรองว่าจะไม่เพิ่มปัญหาให้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
ตู้อวี๋ชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแวบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก สะทกสะท้อนใจไม่หยุด ท่านพ่อท่านแม่มักจะบอกว่ามรรคกถาของผู้ฝึกตนใหญ่คนนั้นลึกล้ำ เจ้านครหวงเยว่ก็ดี บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งก็ช่าง ขอแค่มีรากฐานมีภูเขา เวลาวางตัวเข้าสังคมหรือลงมือทำอะไร มักจะต้องมีร่องรอยให้สืบเสาะได้เสมอ ทุกเรื่องก็ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว หากจะกลัวก็จงกลัวสี่คำบนกระดาษที่บอกว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน’ เพราะเป็นคำที่ง่ายๆ และเบาบางล่องลอย จึงทำให้คนคว้าจับไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตู้อวี๋ไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เขามักจะเห็นหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่พวกนี้เป็นสายลมที่ผ่านข้างหูไปเท่านั้น
ดังนั้นการเดินทางมาเยือนอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนี้จึงทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เอาหลายๆ ครั้งที่ท่องเที่ยวในยุทธภพมารวมกัน คืนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า และตอนนี้ตู้อวี๋ก็คร้านจะคิดอะไรให้มากความ จึงไม่ถามอะไรอีก ผู้อาวุโสท่านนี้พูดอะไรก็ว่าตามกัน แผนการของคนบนยอดเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความเข้าใจได้เลย แทนที่จะหลอกตัวเอง ก็ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
ผู้อาวุโสจากต่างถิ่นที่ทำอะไรเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนตลอดเวลาผู้นี้ มีดีอยู่อย่างหนึ่ง จริง
ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางด้วยกันมา เขาจึงตอบทุกคำถามของอีกฝ่าย คิดเสียว่าไหนๆ ไหแตกแล้วก็ทุบให้มันแหลกเสียเลย คิดอะไรก็พูดมันไปอย่างที่ใจนึก แทนที่จะแสร้งโง่อวดฉลาดต่อหน้าอีกฝ่าย ก็ไม่สู้พูดจาหรือทำตัวให้จริงใจสักหน่อย ถึงอย่างไรสันดานของตนเป็นแบบไหน ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว
เฉินผิงอันเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงโยนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไว้บนพื้น แล้วพลันหยุดฝีเท้า แต่กลับไม่ได้ปลุกให้นางตื่น
ตู้อวี๋กำลังใจลอยไปไกล ไม่ทันระวังจึงเลยผ่านบุรุษสวมชุดสีเขียวผู้นั้นไปหลายสิบลี้ เขารีบทะยานลมย้อนกลับมา กวาดตามองรอบด้าน เอามือกดด้ามดาบ ถามว่า “ผู้อาวุโส มีคนซุ่มอยู่หรือ? จะให้ข้าไปตรวจสอบดูก่อนหรือไม่ว่าจริงหรือเท็จ?”
“เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งมีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าขนาดนั้น ไหนเลยจะยังต้องมาซุ่มโจมตีเจ้ากับข้า แค่จัดขบวนรบรอที่ริมทะเลสาบ เจ้าตู้อวี๋เห็นปราดเดียวก็หวาดผวาแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามคำถามหนึ่งกับตู้อวี๋ “หลายสิบแคว้นน้อยใหญ่ซึ่งรวมถึงแคว้นอิ๋นผิง มีจำนวนผู้ฝึกตนไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครคิดจะไปดูสถานที่ที่ห่างไกลด้านนอกสักหน่อยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นชายหาดโครงกระดูกทางทิศใต้ หรือราชวงศ์ต้าหยวนในภาคกลาง”
ตู้อวี๋ส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนของสำนักอื่นบอกได้ยาก พูดถึงแค่ตำหนักขวานผีของพวกเรา นับตั้งแต่วันแรกที่เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตนก็มีคำสั่งสอนข้อหนึ่งของสำนักสืบทอดกันมา ความหมายคร่าวๆ ก็คือบอกให้ลูกศิษย์รุ่นหลังอย่าได้ออกเดินทางไกลง่ายๆ จงตั้งใจฝึกตนอยู่บ้านให้ดี พ่อแม่ของข้าก็มักจะพูดกับลูกศิษย์ของตัวเองว่า สถานที่แห่งนี้ของพวกเรามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากที่สุด คือดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่หาได้ยาก หากมีผู้ฝึกตนยากจนของภายนอกเกิดความโลภอยากครอบครอง นั่นก็คือหายนะ ข้าไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นเหตุให้หลายปีมานี้คอยท่องอยู่ในยุทธภพเป็นประจำ อันที่จริง…”
พูดมาถึงตรงนี้ ตู้อวี๋ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาจึงหยุดพูดไป
เฉินผิงอันกล่าวว่า “คำถามของข้า เจ้าได้ตอบมาตามความจริงแล้ว เรื่องที่เหลือ จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ เรื่องเละเทะทั้งหลายที่เจ้าตู้อวี๋ทำในยุทธภพ ข้าไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร”
ตู้อวี๋เข้าใจได้ทันที เขาขยับเท้าสองสามก้าวเข้าไปใกล้ผู้อาวุโส กดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง พ่อแม่ของข้าก็ถือว่ารักและเอ็นดูข้ามาก แต่ทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังคงหลบเลี่ยงเก็บงำเอาไว้ บอกแค่ว่าเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรรู้ เมื่อไม่รู้ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าข้าไม่กล้าต่อต้าน จึงคิดหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง อาศัยโอกาสที่มาเที่ยวเล่นในยุทธภพลองเดินออกไปให้ไกลสักหน่อย ทุกครั้งจะหยุดเมื่อพอสมควร เดินทางเที่ยวไปทั่วสี่ด้านแปดทิศจนครบรอบหนึ่ง สุดท้ายข้าก็พอจะใคร่ครวญลิ้มรสอะไรบางอย่างออกมาได้จริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าที่อยู่ในยุทธภพได้ลิ้มรสอะไรไม่น้อยเลยจริงๆ”
ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “การเล่นสนุกเหมือนเด็กเช่นนี้ของข้า เทียบกับผู้อาวุโสที่ทะยานลมข้ามทวีป มหามรรคามีแต่อิสระเสรี เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำมาไกลนับหมื่นลี้ไม่ได้หรอก”
ตู้อวี๋เอ่ยต่อ “ถึงท้ายที่สุดข้าก็ค้นพบว่าชายแดนของหลายสิบแคว้นคล้ายจะมีคูน้ำธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งดำรงอยู่ บริเวณโดยรอบนั้นมีปราณวิญญาณเบาบางเป็นพิเศษ เหมือนว่าถูกเซียนบนยอดเขาที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเก้าชั้นฟ้าวาดวงกลมวงหนึ่งไว้บนอาณาเขตของโลกมนุษย์ ทั้งสามารถปกป้องพวกเราเอง แล้วก็ยังป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนต่างถิ่นบุกเข้ามากระทำการชั่วร้ายด้านใน ทำให้คนไม่กล้าล้ำเส้นไปแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “วิธีการคล้ายกับชุยตงซานที่ใช้กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้า? นี่เพื่ออะไร?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงวางความคิดนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
แต่หากเกี่ยวข้องกับสมบัติประหลาดที่จะเผยกายในเมืองสุยเจี้ยจริงๆ ถือเป็นเส้นสายของเบาะแสที่ถูกทิ้งไว้ ยาวไกลเป็นพันลี้ ถ้าอย่างนั้นตนก็ควรต้องระวังตัวให้มากแล้ว
ดังนั้นการเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นต่อจากนี้ หากคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ ก็จะเอาแต่ลงมือให้สาแก่ใจ ยอมทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีเพียงแค่เพื่อความสะใจอย่างเดียวไม่ได้
เจี้ยนเซียนที่สะพายไว้ข้างหลังต้องเก็บเอาไว้เป็นสมบัติก้นกรุ
กระบี่บินสืออู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เคยปรากฏตัวข้างกายเขาที่ศาลสุ่ยเซียน สาวใช้จะต้องบอกว่าตนเป็น ‘เซียนกระบี่’ คนหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นสามารถเอาออกมาใช้โดยว่ากันไปตามสถานการณ์ได้ แต่จำเป็นต้องกำชับสืออู่ว่าหากต้องเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ความเร็วในการบินออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ครั้งแรกสุด ทางที่ดีที่สุดคือต้องช้ากว่าเดิมสักหน่อย
ส่วนสร้อยประคำแกนลูกท้อที่สวมไว้บนข้อมือ รวมถึงยันต์สามแผ่นของตำหนักนภากาศราชวงศ์ต้าหยวน หากเป็นช่วงเวลาคับขันที่มองดูคล้าย ‘วิกฤตอันตราย’ ก็สามารถเลือกออกมาตาก…แสงจันทร์ของค่ำคืนนี้ดูได้
ในเรื่องของขอบเขตวิถีวรยุทธและระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างกาย ก็เลือกกดไว้ที่ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดก่อนแล้วกัน
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี การออกหมัดที่มีต่อเจ้าแห่งคูน้ำและเหอลู่ก็คือเวทอำพรางตาที่จงใจเอาออกมาใช้อย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นการเปิดเผยรากฐานที่มองดูเหมือน ‘ลงมือเต็มกำลัง ไม่ออมมือไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย’
เรื่องบางอย่างต่อให้ตนเก็บซ่อนได้ดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ นิสียดีๆ ที่ชอบตั้งสมมติฐานถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน ในใต้หล้านี้จะมีเขาเฉินผิงอันเพียงคนเดียวได้อย่างไร? ดังนั้นจึงไม่สู้ให้ศัตรู ‘เห็นกับตาตัวเอง’ ไปเลย
เลียบเคียงอนุมานอย่างระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ทุกเรื่องล้วนคิดให้มากและคิดให้ซับซ้อน
เดินทางผ่านยุทธภพสามทวีประยะทางเป็นพันเป็นหมื่นลี้เพียงลำพัง
เฉินผิงอันก็ใช้วิธีการเดินเช่นนี้มาโดยตลอด
เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาฝึกหมัดได้มากขึ้น สมบัติติดกายก็มีมากชิ้นขึ้น
แล้วก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มรองเท้าสานขาเปื้อนโคลนมาเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดขาวปักปิ่นหยก แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นสวมชุดเขียวสวมงอบ ถือไม้เท้าเดินป่าอย่างในทุกวันนี้
กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้าอะไรนั่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!