ประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองค่อยๆ แง้มเปิดช้าๆ
ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ นอกจากเทพอภิบาลเมืองที่ตกอยู่ในสภาพเอาตัวเองรอดยังยากลำบากแล้ว ทุกคนในศาลล้วนถูกระดมกำลังออกมา ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ ขุนนางผีแห่งโลกมืดในหน่วยงานทั้งหลาย ต่างก็ยืนอยู่ด้านในของประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง
แม้จะบอกว่าตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยล้วนถือเป็นถิ่นของบ้านตัวเอง จะต้องมีโชควาสนาส่วนหนึ่งคอยปกป้องคุ้มครอง แต่ยืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ควันธูปเข้มข้น ถึงอย่างไรก็สบายใจมากกว่า
เฉินผิงอันมองไปทางประตูใหญ่
ตอนนั้นหลังจากโศกนาฎกรรมครั้งนั้นผ่านพ้นไป ท่านเทพอภิบาลเมืองเลือกจะสังหารหนึ่งปล่อยหนึ่ง ดังนั้นแม่ทัพถือตรวนน่าจะเป็นคนใหม่ ขุนนางหลักของกองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมืองกลับยังคงเป็นคนเก่า
เฉินผิงอันถือเจี้ยนเซียนไว้ในมือ ก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “หลังจากที่ข้าออกกระบี่สองครั้งแล้ว คืนนี้ก็เชิญพวกเจ้าเล่นได้ตามใจชอบ”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมือง “ผู้ใดคือเป็นขุนนางหลักกองหยินหยางแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ย?”
ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ เทพท่องทิวาราตรี แม่ทัพถือตรวน รวมไปถึงขุนนางของกองงานต่างๆ ล้วนรีบหันไปมองยังขุนนางลักษณะเหมือนชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างไม่มีความลังเล
ขุนนางของศาลเทพอภิบาลเมืองขนาดเล็กใหญ่ในโลกมืด มีระบบพิธีการคล้ายคลึงกับราชสำนักในโลกสว่าง นอกจากภาพปักบนชุดขุนนางที่ไม่อาจนำมาใช้ได้อย่างส่งเดชแล้ว แต่ละสถานที่แต่ละเขตก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อย่างในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ ชุดขุนนางส่วนใหญ่จะเป็นสองสีคือขาวและดำ อีกทั้งตรงเอวยังห้อยตราประทับอาคมทองสัมฤทธิ์ที่เป็นตราของแต่ละตำแหน่งเอาไว้
เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาล่อกแล่ก พยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวลนลานในใจ โค้งกายคำนับ “คืนนี้เซียนกระบี่เดินทางมาเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาลเมือง โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปรอต้อนรับแต่ไกล ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่มาหาข้าน้อยด้วยเรื่องอันใด?”
ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี หลักการตื้นเขินเพียงเท่านี้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็เข้าใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่มีทางพร้อมใจจับมือกันปรากฏตัว
นาทีถัดมาเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นก็เข้ามายืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมือง ด้านหลังก็คือขุนนางหลักกองงานหยินหยางที่ยืนอึ้งค้างอยู่กับที่
ต่อให้คนผู้นั้นจะบุกเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว แต่ทุกคนแม้กระทั่งผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ต่างก็ขยับเท้าหลบเป็นความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เหมือนต้องการเปิดทางเส้นหนึ่งให้กับเขา จากนั้นแต่ละคนก็พากันหันไปมองเพื่อนร่วมงานคนนั้น
เห็นเพียงว่าตั้งแต่หน้าผากไล่ยาวลงไปจรดเบื้องล่างของขุนนางหลักกองหยินหยางผู้นั้นปรากฎเส้นตรงสีทองที่เล็กบางเส้นหนึ่ง
พริบตาเดียวร่างทองร่างหนึ่งก็ระเบิดปังแล้วแหลกสลายเป็นผุยผง
แม้แต่ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ที่เชี่ยวชาญในการกำราบสังหารผีร้ายที่สุดในศาลเทพอภิบาลเมือง และแม่ทัพถือตรวนที่ชอบออกจากเมืองไปไล่ล่าผีเร่ร่อนก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายออกกระบี่อย่างไร แล้วออกกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชั่วขณะนั้นขุนนางทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองต่างก็หน้าซีดเผือด
มองดูแล้วน่าสังเวชนัก
เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่จริงๆ ด้วย!
แค่เคยได้ยินว่าพวกเซียนกระบี่มักจะทำอะไรแปลกประหลาดและกำเริบเสิบสาน จนไม่อาจใช้หลักการเหตุผลทั่วไปมาวัดประเมินพวกเขาได้
เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลังของศาลมีแสงสีทองอ่อนจางไหลวนระลอกหนึ่ง ก่อนที่ขุนนางวัยชราลักษณะสุภาพคนหนึ่งจะเดินออกมา สิ่งปลูกสร้างของตำหนักหน้าไม่อาจขัดขวางเขาไว้ได้ ร่างของเขาเดินผ่านทะลุล่องลอยมาถึงขั้นบันไดของตำหนักหน้า พอยืนนิ่งแล้วก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ตวาดกร้าว “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้วก็จะสามารถสังหารขุนนางโลกมืดที่ได้รับการแต่งตั้งประทับตราลัญจกรจากฮ่องเต้ของหนึ่งแคว้นได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ?!”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังควันดำหนาหนักที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย กลิ่นอายชั่วร้ายนั้นราวกับปีศาจที่กางเล็บแสยะเขี้ยว
ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทะเลเมฆอาวุธกึ่งเซียนของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า เพียงแต่ว่าฝ่ายหลัง หากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ ทว่าในเมืองสุยเจี้ยของแคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้ นอกจากผู้ฝึกตนแล้ว มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็น
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าจะพยายามต้านรับทัณฑ์สวรรค์แทนเจ้า เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไร?”
เทพอภิบาลเมืองตกตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง “จริงหรือ? เซียนกระบี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วอายุยังน้อยผู้นั้นผงกศีรษะรับ
เทพอภิบาลเมืองรู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดิน เมื่อต้นหลิวร่วงโรยบุปผาย่อมผลิบาน! เทพอภิบาลเมืองตะโกนเสียงดัง “ขอแค่เซียนกระบี่สามารถรับรองว่าศาลเทพอภิบาลเมืองของข้าจะปลอดภัย เซียนกระบี่ก็สามารถเปิดปากมาได้เลย สมบัติวิเศษกองใหญ่ เชิญเซียนกระบี่เลือกไปได้ตามใจชอบ หากเซียนกระบี่รังเกียจว่ายุ่งยาก ก็แค่เอ่ยมาคำเดียว คนตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมจะยกสองมือประคองส่งให้ จะไม่ชักช้าอืดอาดแม้แต่น้อย…”
แสงสีทองเส้นหนึ่งฟันผ่าลงมาแสกหน้า
ขุนนางโลกมืดทั้งหลายของศาลเทพอภิบาลเมืองที่มองดูอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างทองไม่มั่นคง เห็นเพียงว่าท่านเทพอภิบาลเมืองที่สูงส่งเหนือผู้ใดมาหลายปีจนนับเวลาไม่ถ้วนผู้นั้น สภาพเหมือนกับเพื่อนร่วมงานของกองหยินหยางก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน อันดับแรกคือปรากฏแสงสีทองจุดหนึ่งตรงหน้าผากก่อน จากนั้นก็เป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ลามไปอย่างเชื่องช้า
ไม่เสียทีที่เป็นท่านเทพอภิบาลเมืองซึ่งถูกตั้งบูชาได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปมานานหลายปี ร่างทองหนาหนักที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแก่นควันธูปจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ได้แหลกสลายไปในทันที ไม่เพียงเท่านี้ ท่านเทพอภิบาลเมืองยังสามารถยกมือสองข้างขึ้นกดสองซีกบนผากของตัวเองเอาไว้แน่น ร้องโหยหวนขึ้นว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร? หากข้าตายไป ทัณฑ์สวรรค์ก็จะเยื้องกรายลงมาทันที หรือเจ้าคิดจะอาศัยกำลังของคนคนเดียวต้านทานทัณฑ์สวรรค์? หากข้าไม่ตาย เจ้ากับข้ายังสามารถร่วมมือกันต้านรับ ผ่านหายนะไปด้วยกันได้ เจ้ามันคนเสียสติ! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”
เส้นสายตาของเฉินผิงอันมองเลยผ่านท่านเทพอภิบาลเมืองไปยังแท่นบูชาเทพที่อยู่ตำหนักหน้า เทวรูปสูงตระหง่านที่ได้รับควันธูปของทั้งเมืองเหมือนกัน แต่กลับไร้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่าง
ไม่รู้ว่าเป็นพวกหนูและงูที่อยู่รูเดียวกัน รู้ว่าหายนะใหญ่กำลังจะมาเยือนหรือไม่ ถึงได้สลายความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายออกไปจากเทวรูปในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้
เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษที เมื่อครู่นี้ลืมบอกไปว่า ข้าต้องการให้เจ้าขอบคุณข้าด้วยความตาย”
สองมือของเทพอภิบาลเมืองกดหน้าผากของตัวเองเอาไว้แน่น สี่ด้านแปดทิศเริ่มมีควันธูปที่ไม่แยกว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ปะปนด้วยความคิดอันชั่วร้ายหรือไม่ พากันกรูเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย ขอแค่เป็นควันธูปของคนที่มาจุดธูปกราบไหว้ ไม่ว่าความคิดจะบริสุทธิ์หรือสกปรกก็ล้วนถูกเขากักไว้ในศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างคุ้นชินมานานแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการดื่มยาพิษดับกระหายหรือไม่ เขาไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ขอแค่เพิ่มตบะขึ้นมาได้ ความเป็นไปได้ที่จะสามารถรักษาร่างทองเอาไว้ได้หลังจากที่ทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนศาลเทพอภิบาลเมืองจะย่อยยับหรือไม่ พวกขุนนางภูตผีที่คอยช่วยเหลือเขาจะเดือดร้อนติดร่างแหเพราะตบะที่ไม่มากพอหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งความเป็นความตายของชาวบ้านในเมือง นับตั้งแต่วันแรกที่ ‘บุญกุศลถดถอย ร่างทองเสื่อมโทรม’ ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เขายังส่งผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่สนิทสนมกันมานานให้ไปเยือนเมืองหลวง พกพาของขวัญชิ้นใหญ่ แวะเวียนไปหากรมพิธีการ กองงานโหราศาสตร์ เกลี้ยกล่อมขอให้ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงระงับเรื่องนี้ไว้ในราชสำนัก ไม่อนุญาตให้เมืองสุยเจี้ยและชาวบ้านในเมืองหนีตายกันไปทั่วทิศ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ฮวงจุ้ยของหนึ่งแคว้นและของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งพื้นที่ต่างก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ระหว่างนี้ลูกหลานคนรุ่นหลังของคนที่ได้รับจดหมายในเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าประมุขคนปัจจุบันยังถือว่าพอรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ดี จึงช่วยออกแรงไปมาก ใช้เครือข่ายผู้คนและความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้ในวงการขุนนางมาหลายชั่วอายุคน ช่วยกันขอร้องแทนศาลเทพอภิบาลเมือง ถึงได้ทำให้ท่านเทพอภิบาลเมืองมองเห็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งซึ่งได้มาอย่างยากลำบาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!