ตลอดทางมีเสียงเด็กร้องไห้ให้ได้ยินไม่ขาดสาย สตรีแต่งงานแล้วพยายามปลอบโยน ส่วนบุรุษชายฉกรรจ์ก็ผรุสวาทเสียงดัง พวกคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่สวดมนต์อยู่ในบ้านของตัวเอง เสียงเคาะปลาไม้ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ พวกอันธพาลในท้องที่บางคนที่ใจกล้าสักหน่อยก็ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ หมายจะหาโอกาสรวยทางลัดให้ตัวเอง
ตระกูลคนมีเงินเริ่มติดแผ่นยันต์ที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากวัดวาอารามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยันต์แบบไหนก็ขอให้ได้ติดไปก่อนค่อยว่ากัน
มาถึงถนนใหญ่ด้านนอกศาลเทพอภิบาลเมือง ตู้อวี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปข้างใน เห็นเพียง…คนผู้หนึ่งที่…เลือดเนื้อเละเทะพร่าเลือน มองไม่เห็นก้อนเนื้อดีๆ แม้แต่ก้อนเดียว มือทั้งสองข้างยันกระบี่ ยืนอยู่ที่เดิม
ตู้อวี๋มองกระบี่ยาวที่แสงสีทองหม่นหมองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างแรง จากนั้นก็ตบบ้องหูตัวเองหลายๆ ที ก่อนจะยกสองมือขึ้นพนม พูดเสียงเบาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโส วางใจเถอะ เชื่อข้าตู้อวี๋สักครั้ง ข้าเพียงแค่จะแบกท่านไปยังพื้นที่ที่เงียบสงบ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้รั้งรออยู่นาน!”
ตู้อวี๋รออยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสไม่พูดอะไร ข้าก็จะถือว่าท่านตอบตกลงแล้วนะ?!”
สุดท้ายตู้อวี๋ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนึ่งคนหนึ่งกระบี่นั้น
ทรุดตัวลงนั่งยองจะแบกผู้อาวุโสขึ้นหลังไป
ตู้อวี๋จึงไม่ได้เห็นภาพที่มากพอจะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเขาให้แหลกสลายได้
ผู้อาวุโสที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนผู้นั้นค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ นิ้วมือขยับเล็กน้อย
จุดสูงบนม่านฟ้า ผู้ฝึกตนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ทะยานลมมาหยุดลอยตัวลังเลอยู่ชั่วขณะก็เลือกที่จะจากไป
ตู้อวี๋ตบศีรษะตัวเอง นึกขึ้นได้ว่ากระบี่เล่มนี้ค่อนข้างจะเกะกะ เขาจะแบกอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ตู้อวี๋คิดจะแงะนิ้วทั้งสิบของผู้อาวุโสออกเบาๆ แต่นิ้วของอีกฝ่ายกลับไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ตู้อวี๋หน้าม่อย แบบนี้จะทำอย่างไรดี
นิ้วของตู้อวี๋เพียงแค่สัมผัสกับด้ามกระบี่เบาๆ ร่างทั้งร่างก็ถูกดีดออกไป จิตวิญญาณสะเทือนไหว ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างในเสี้ยววินาที ไม่เป็นรองตอนที่ผู้อาวุโสใช้พายุหมัดพัดผ่านสามจิตเจ็ดวิญญาณเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลสุ่ยเซียนของจ้าวแห่งคูน้ำเสาซีก่อนหน้านี้เลย
ตู้อวี๋ดิ้นรนลุกขึ้นยืน กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สีหน้าซีดขาว พอแบมือออกก็เห็นว่านิ้วข้างนั้นเกือบจะไหม้เกรียมเป็นถ่านดำ
แล้วจู่ๆ กระบี่เล่มนั้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยตัวเอง ขยับออกห่างมือทั้งสองของผู้อาวุโส บินกลับเข้าไปสอดในฝักด้านหลังผู้อาวุโสเบาๆ
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศซึ่งใช้วิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมองมายังซากปรักหักพังแห่งนี้ต่อถอนหายใจเบาๆ ราวกับรู้สึกเสียดายอย่างมาก แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง
ตู้อวี๋ถึงได้สามารถแบกคนเลือดที่ทั่วร่างล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น ราวกับว่าถูกแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่งชอนไชจนเป็นรูไปทั่วทั้งตัวไปด้วยกันได้ เขาเดินไปตามตรอกซอกซอยแคบๆ บ้างก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพง สุดท้ายกว่าจะพบเจอเรือนผุพังที่ไร้คนอยู่อาศัยหลังหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตู้อวี๋ยกเท้าถีบห้องเล็กที่เต็มไปด้วยหยากไย่ให้เปิดออก เดิมคิดว่าจะวางผู้อาวุโสร่างโชกเลือดด้านหลังตนไว้บนเตียง แต่พอเห็นว่าเตียงไม้ผุเก่าหลังนั้นไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืน บนเตียงเต็มไปด้วยฝุ่น เขาก็จึงได้แต่ใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้โยกที่ใกล้พังตัวหนึ่งมา วางผู้อาวุโสลงบนเก้าอี้ที่ส่งเสียงดังออดแอด แล้วตู้อวี๋ที่บนร่างก็เต็มไปด้วยคราบเลือดเช่นกันก็หยิบเอาขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างมือของคนผู้นั้นเบาๆ ตู้อวี๋ถอยหลังไปหลายก้าว เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋กลัวตาย กลัวตายมากจริงๆ คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”
ตู้อวี๋ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หากผู้อาวุโสยังไม่ตาย แต่ถ้าในขณะที่ผู้อาวุโสพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่แล้วตู้อวี๋ถูกคนจับได้ ข้าก็คงจะยังบอกที่อยู่นี้แก่พวกเขาอย่างชัดเจน”
คนที่อยู่บนเก้าอี้เงียบสงบเหมือนตายไปแล้ว
ตู้อวี๋กุมหมัดคารวะ เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงเบาๆ
ในสมองตู้อวี๋เหมือนมีแต่แป้งเปียก เดิมทีคิดจะหนีออกไปจากเมืองสุยเจี้ยในรวดเดียว กลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ที่ตำหนักขวานผีก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่ว่าพอเดินออกมานอกห้อง ถูกลมเย็นๆ พัดโชยมาสติก็พลันแจ่มใส ไม่เพียงแต่ไม่สามารถย้อนกลับไปตำหนักขวานผีได้เพียงลำพัง เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนก็คือกลับไปลบรอยเลือดที่หยดตามทางมาเป็นระยะนั่น! นี่เป็นทั้งการช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองด้วย! หลังจากตู้อวี๋ตัดสินใจได้แล้วก็ไม่เหลือความลังเลอีก ในขณะที่แอบไปจัดการกับร่องรอยอย่างเงียบเชียบ ตู้อวี๋ยังเริ่มตั้งสมมติฐานว่าหากตนเป็นผู้อาวุโสคนนั้น เขาควรจะจัดการกับสภาพการณ์ของตัวเองในเวลานี้อย่างไร
หลังจากที่ตู้อวี๋ปิดประตูเดินจากไปแล้ว
คนที่ร่อแร่ใกล้ตายอยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ ลืมดวงตาที่มืดลึกคู่นั้นขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง
หลังจากฟ้าสว่าง
ขุนนางน้อยใหญ่ ครอบครัวเศรษฐีและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองสุยเจี้ยก็เริ่มง่วนทำงานยุ่งวุ่นวายด้วยความกระวนกระวาย
หลังจากที่พวกเขาทยอยกันได้ยินเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ศาลเทพอภิบาลเมือง ก็ไม่รู้ว่าเล่าลือกันไปอย่างไร ถึงได้กลายเป็นว่าศาลเทพอภิบาลเมืองช่วยต้านรับทะเลเมฆที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่แน่ชัดนั้นแทนพวกเขา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองเจอกับหายนะ ชั่วขณะนั้นก็มีชาวบ้านกรูกันไปจุดธูปโขกหัวกราบไหว้ซากปรักของศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างต่อเนื่อง ธูปในร้านขายธูปบนถนนเส้นใหญ่ล้วนถูกคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยง และยังมีคนอีกหลายคนที่เกิดเหตุวิวาทกันเพราะแย่งชิงธูป
สถานการณ์ที่ศาลเทพอัคคีก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ศาลทั้งศาลพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี เทวรูปดินเผาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอัคคีก็ร่วงแตก เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
สองวันต่อมา
เมืองสุยเจี้ยก็มีคนแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกหลายคน ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เจ้าเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่เดิมทีเศร้าเสียใจเหมือนบิดาตายก็ไม่เหลือสภาพอับจนหนทางดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อนอีก ใบหน้าของเขาแดงปลั่งอิ่มเอิบ สั่งให้เสมียนขุนนาง คนทุกคนไปตามหาคนหนุ่มชุดเขียวที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด ในมือของแต่ละคนล้วนมีภาพเหมือนหนึ่งภาพ ว่ากันว่าเขาคือโจรชั่วนิสัยเลวทรามคนหนึ่งที่ผ่านทางมา ยิ่งทุกคนได้เห็นภาพเหมือนของเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นคนเลวอย่างแน่นอน บวกกับที่จวนเจ้าเมืองจ่ายเงินรางวัลอย่างหนัก ขอแค่มีเบาะแสร่องรอยของคนผู้นี้ เงินรางวัลก็มากถึงทองร้อยก้อน หากสามารถพาเขามายังที่ว่าการได้ ท่านเจ้าเมืองก็สามารถช่วยแนะนำส่งเสริมด้วยตัวเอง จนกระทั่งคนผู้นั้นได้รับตำแหน่งขุนนาง! เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เพียงแต่จวนของที่ว่าการเท่านั้น ตระกูลคนรวยหลายแห่งที่ข่าวสารว่องไวก็เห็นเรื่องนี้เป็นงานดีที่สามารถลองเสี่ยงโชคดูได้ แต่ละครอบครัวจึงพากันส่งตัวบ่าวรับใช้ทั้งหมดออกมาระดมพลกันค้นหา
ไม่เพียงแต่เมืองสุยเจี้ยเท่านั้น ที่ว่าการของเมืองรอบๆ ก็เริ่มทำการค้นหาตามจับคนผู้นี้ขนานใหญ่เช่นกัน
หนึ่งวันผ่านไป ชาวบ้านของเมืองสุยเจี้ยต่างก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดของเรื่องราวในครั้งนี้
บนท้องฟ้าและในเมืองมีเทพเซียนขี่เมฆทะยานหมอกในตำนานปรากฏตัวขึ้นเยอะมาก
พอเห็นพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรีหรือคนชราที่อยู่ตามมุมต่างๆ ของเมืองต่างก็พากันคุกเข่าโขกหัวคำนับพวกเขา
ทว่าท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ ในศาลเทพอัคคี ชายฉกรรจ์เคราดกที่รูปโฉมเหมือนกับเทวรูปพลันเผยกาย เรือนกายสูงหลายสิบจั้ง อาศัยควันธูปของเมื่อหลายวันก่อนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พอจะฝืนดึงลมปราณเฮือกสุดท้ายเผยร่างจริงในช่วงเวลาคับขันที่ร่างทองโงนเงนใกล้จะปริแตก ตะโกนเสียงดังเล่าถึงวีรกรรมที่เต็มไปด้วยคุณธรรมของเซียนกระบี่ผู้นั้น! บอกว่าเขาไม่ใช่คนต่างถิ่นชั่วร้ายที่ชักนำภัยมาสู่ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือนำพาหายนะจากสวรรค์มาสู่เมืองสุยเจี้ยอย่างแน่นอน!
ถ้อยคำที่รัวเร็วเร่งร้อนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีท่านนี้พลันดังก้องไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย
พวกชาวบ้านหันมามองหน้ากันเอง ใต้เท้าเจ้าเมืองที่อยู่ในจวนที่ว่าการก็ยิ่งอับอายจนพานเป็นความโกรธ
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาพูดไปมากกว่านั้นก็มีสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งพุ่งจากจุดที่ห่างไปไกลแสนไกลมาถึงเมืองสุยเจี้ย แล้วระเบิดใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเทพอัคคีแห่งนี้ดังสนั่นหวั่นไหว
ร่างทองของชายฉกรรจ์เคราดกระเบิดแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนจะกลายเป็นจุดแสงสีทองที่กระจัดกระจายไปสี่ทิศ
สมบัติอาคมชิ้นนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พุ่งเข้าทุบทำลายศาลเทพอัคคีทั้งแห่งจนพังพินาศ
ยามสนธยาของวันนี้ บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีขาว ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดคนหนึ่งเดินไปยังเรือนผีแห่งนั้น เขาเปิดประตูออกแล้วปิดลง
กลางม่านราตรี เขาที่มือข้างหนึ่งถือพัดไม้ไผ่นั่งดื่มเหล้าชมจันทร์อยู่บนหลังคาเรือน สุดท้ายก็เมาหลับไปทั้งอย่างนั้น
คนผู้นี้นอกจากสีหน้าจะซีดขาวเล็กน้อยแล้ว เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาชาวบ้านก็สมกับเป็นเจ๋อเซียนอย่างแท้จริง
พอเขาปรากฏตัว ผู้ฝึกลมปราณแทบทั้งหมดในเมืองก็พากันถอยหายกระจายตัวเหมือนกระแสน้ำลง
เพราะมีผู้ฝึกตนสองคนที่คิดลองของแอบขยับเข้าไปใกล้เรือนผีในกลางดึกคืนหนึ่ง เพิ่งจะขยับเข้าใกล้กำแพงที่โอบล้อมเรือนก็ถูกแสงกระบี่สองจุดแทงทะลุศีรษะ ตายคาที่ทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!